เรื่องสั้นสยองขวัญ..ตอนผีมาบ้อง
ตอน..ผีม้าบ้อง
สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านครับ เรื่องราวที่ผมจะเล่าให้ท่านฟังในวันนี้..แม้ไม่ใช่ประสบการณ์ตรงของผม แต่มันก็จะทำให้ท่านผู้อ่าน ได้ขนหัวลุกกัน ไม่มากก็น้อย
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะครับ
เรื่องมีอยู่ว่า...ตอนที่ผมเรียนวิทยาลัยพลศึกษา ชั้นปีที่ 2 หลังจากที่พวกเราเรียนภาคเรียนแรกจบแล้ว ในภาคเรียนที่ 2 พวกเราก็ต้องออกฝึกสอนเป็นเวลา 2 เดือน
ตัวของผมเองได้กลับไปฝึกสอนที่โรงเรียนเก่าที่ผมเคยเรียนอยู่ตอนมัธยม...
เพื่อนผมชื่อป๋องครับ เคยเรียนมัธยมมาด้วยกัน แต่การออกฝึกสอนในครั้งนี้ ที่โรงเรียนเก่าของเรา กลับรับนักศึกษาเพียงแค่คนเดียว และผมก็คือคนที่โชคดีในตอนนั้นครับ
แต่เจ้าป๋องเพื่อนของผม ได้ไปฝึกสอนไกลเลยครับ นั่นก็คือที่โรงเรียนแถวๆแม่เชียงรายบน...ผมจำไม่ได้นะครับว่าเป็นอำเภอหรือตำบล จำได้แต่เพียงว่าโรงเรียนที่เพื่อนผมไปสอน เป็นโรงเรียนบนดอยครับ ทางขึ้นไปก็แสนจะลำบากตรากตรำ ผมได้ฟังเรื่องนี้หลังจากที่เราฝึกสอนเสร็จแล้วครับ พอกลับมาถึงวิทยาลัย เราก็ชอบมานั่งพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน ป๋องเพื่อนของผมมันเล่าให้ฟังว่า...
ตอนที่ป๋องกับเพื่อนอีกคน ไปฝึกสอนที่โรงเรียนบนดอย..วันหนึ่งมีเด็กๆ ที่เป็นนักเรียนในโรงเรียนบนดอยนั้น มาถามว่า
"ครูครับครูครับ ครูเคยเห็นผีม้าบ้องไหมครับ" ( พูดเป็นสำเนียงของเด็กบนดอยอ่ะครับ )
ป๋องเพื่อนผมก็ถามกลับไปว่า "มันเป็นยังไงเหรอครับ ผีม้าบ้องเนี่ย" เด็กๆบอกว่า
"ถ้าครูอยากเห็น ต้องขออนุญาตครูใหญ่ มานอนที่ห้องสมุดของโรงเรียนนะครับ" ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของเจ้าป๋อง และความสนิทกับครูใหญ่ที่โรงเรียน เพราะครูในโรงเรียนที่เป็นครูสอนจริงๆ มีแค่สองสามคน
ป๋อง และเพื่อนอีกก็เลยไปคุยกับครูใหญ่ ถึงเรื่องที่เด็กๆเล่าให้ฟัง...พอครูใหญ่ได้ฟังเท่านั้นแหละ ท่านก็บอกเพื่อนผมว่า
"ผีม้าบ้องน่ะมันมีจริงๆ ตอนที่ผมเข้ามาเป็นครูใหญ่ใหม่ๆ เด็กๆก็พาไปซุ่มดูที่ห้องสมุดเหมือนกัน ผมก็เห็นจริงๆ ถ้าครูป๋องอยากเห็น ก็มานอนที่ห้องสมุดของเราได้นะ ไม่ต้องกลัวไป เพราะเด็กๆก็จะมานอนเป็นเพื่อนด้วยเหมือนกัน"
วันนั้นป๋องกับเพื่อนอีกคนก็เตรียมตัวกันมานอนที่ห้องสมุด คุณครูพร้อม เด็กๆพร้อมทั้งหมดก็ขนอุปกรณ์การนอน เข้าไปในห้องสมุดของโรงเรียน และปูที่หลับที่นอนก่อนที่จะค่ำ..หลังจากปูที่นอนกันเสร็จ ครูและเด็กๆก็มานั่งเป็นวงกลมคุยกัน ที่มุมหนึ่งของห้องสมุด..เด็กๆเล่าให้ป๋องและเพื่อนของผมฟังว่า เมื่อก่อนชาวบ้านในละแวกนั้น ก็เคยสงสัยกันว่า เสียงม้าที่ได้ยินตอนกลางคืนมันมาจากไหน พวกชาวบ้านก็เลยซุ่มดูกันอยู่หลายวัน ถึงรู้ว่ามันคือผีม้าบ้อง เด็กๆบอกว่า ลักษณะของมันคือ หัวจะเป็นม้า และตัวของมันเป็นคน ( ไม่ใช่แก้วหน้าม้านะครับ ) แฮ่ะๆ ชาวบ้านก็เลยรวมกลุ่มกัน เพื่อที่จะขับไล่มันออกไป ..
วันที่ชาวบ้านออกไปหาตัวของมัน ก็มีทั้งดาบ ทั้งปืน เด็กๆบอกว่าชาวบ้านไปกันเป็น 10 คน ก็เลยไม่มีใครกลัว
พวกชาวบ้านซุ่มอยู่ตามพุ่มไม้ ตรงจุดที่เห็นมันวิ่งผ่านเป็นประจำ เมื่อได้ยินเสียงม้าร้อง ชาวบ้านก็เตรียมตัวที่จะจู่โจม พอเห็นมันวิ่งมา พวกชาวบ้านก็ออกจากที่ซ่อน เสียงปืนดังขึ้น เสียงม้าเงียบหายไป พวกชาวบ้านรีบวิ่งไปดูจุดที่เห็นมันล้มลง แต่ไม่มีซากของผีมาบ้องหรืออะไรเลย มีเพียงขอนไม้ขอนใหญ่ขอนเดียว ที่วางอยู่ตรงจุดที่มันโดนยิง คืนนั้นชาวบ้านจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน แต่คืนถัดมาก็ยังมีเสียงร้องของผีมาบ้องอยู่ ซึ่งชาวบ้านก็ได้เลิกสนใจ และคงชินกับเสียงของมันแล้ว เด็กๆบอกว่า ถ้ามันไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนในหมู่บ้าน มันก็คงจะอยู่กับเราได้
"ครูครับ ปิดไฟเถอะครับ ใกล้เวลาที่มันจะมาแล้ว ถ้าเราเปิดไฟไว้ มันก็จะไม่กล้าวิ่งมาแถวนี้ครับ " เด็กคนนึงพูดขึ้น
เพื่อนผม พอได้ยินดังนั้น ก็เดินไปปิดไฟของห้องสมุด
เมื่อภายในห้องสมุดมืดมิด เหลือเพียงแสงจันทร์ที่ส่องรอดเข้ามาตามรอยแตกของไม้ เด็กๆบอกว่า ผีม้าบ้องมันจะวิ่งมาด้านหลังของห้องสมุด ห่างออกไปประมาณ 30 ถึง 40 เมตร ป๋อง เพื่อน และเด็กๆ ต่างก็หารอยแตกของไม้ เพื่อส่องดูผีมาบ้อง...
ไม่นานมากนักก็มีเสียงม้าดังขึ้นจริงๆ ทุกคนในห้องสมุดได้ยินกันทั้งหมด
ตอนนี้ทุกคนเงียบกันหมดจนไม่ได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจ เสียงของแมลงที่เคยร้องอยู่เมื่อครู่ กลับเงียบลงหมดเหมือนปิดสวิตช์ ได้ยินแต่เพียงเสียงม้าดังเป็นระยะๆ
"มาแล้วครับครู" เด็กคนหนึ่งพูดขึ้น สิ่งที่ทุกคนเห็น คือ..เงาดำของคน แต่หัวเป็นม้า วิ่งอยู่ไกลๆ พร้อมกับส่งเสียงม้าร้อง...
วินาทีนั้นเพื่อนผมบอกว่า ทั้งกลัว ทั้งตื่นเต้น ขนลุกไปทั้งตัวเลย ถ้าอยู่คนเดียวคงหนีกลับบ้านไปแล้ว.. แต่ตอนนั้นอยู่กันหลายคน โดยเฉพาะมีเด็กๆเป็นเพื่อน และรู้ว่ามันคงไม่กล้ามาทำร้ายเรา ป๋องและเพื่อนอีกคน ก็เลยกล้านอนอยู่ที่ห้องสมุดกับเด็กๆจนถึงเช้า...
เป็นยังไงครับประสบการณ์ขนหัวลุกในวันนี้ คราวหน้าถ้ามีประสบการณ์ขนหัวลุกแบบนี้อีก ผมจะเขียนมาให้อ่านอีกนะครับ
อ่านเสร็จแล้วอย่าลืมช่วยกันกดติดตาม กด 5 ดาว และกดแชร์ เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมในการเขียนงานชิ้นต่อไปด้วยนะครับ...ขอบคุณครับ