5 ธุรกิจ เคยได้รับความนิยมสุดขีด เกิดที่อื่น แต่มา “ดับ” ที่ไทย !!!
5 ธุรกิจ เคยได้รับความนิยมสุดขีด คือ
การ์ดิเนีย,คาร์ลซ จูเนียร์,โรตีบอย,เอแอนด์ดับบลิว,บาสกิ้น ร็อบบิ้นส์
● การ์ดิเนีย (Gardenia) ขนมปังหอมเนย เจ้าของสโลแกน “อร่อยแท้ๆ แม้ไม่ทาอะไร” ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2521 ณ ประเทศสิงคโปร์ เข้ามาเปิดทำการในไทยเมื่อปี 2530 จุดเด่น คือ มีรสชาติให้เลือกหลากหลาย
ตั้งแต่ บัตเตอร์สก็อต นมฮอกไกโด โฮลวีตแผ่นบาง โฮลวีตผสมกล้วย ลูกเกด ช็อกโกแลต ราสเบอร์รี มะพร้าวใบเตย ฯลฯ
ปัจจุบัน ก็ยังมีช่องทางออนไลน์จัดจำหน่าย โดยมีร้านค้า “รับหิ้ว” จากประเทศใกล้เคียงอย่าง “มาเลเซีย”
● คาร์ลซ จูเนียร์ (Carl’s Jr.)
เชนเบอร์เกอร์และฟาสต์ฟู้ดจากสหรัฐเข้ามาเปิดตลาดในไทยครั้งแรกเมื่อปี 2555 ปักหมุดสาขาแรกที่เมืองท่องเที่ยว
อย่าง “พัทยา” จำนวน 2 สาขา ก่อนขยายไปยังสาขาอื่นๆในกรุงเทพฯ อีก 4 สาขา รวมทั้งสิ้น 6 สาขา
แรกเริ่มวางเป้าใหญ่เตรียมปั้นแบรนด์กว่า 25 สาขาภายใน 5 ปี แต่ผลปรากฏว่า ยอดขายไม่เป็นไปตามเป้า
โดยเหตุผลหลักๆ อาจมาจากการที่ประเทศไทยมีธุรกิจประเภท “Quick Service Food” ที่แข็งแรงมากๆ ในตลาดอยู่แล้ว
โดยเฉพาะ “เบอร์เกอร์” ที่ต้องชนกับเชนใหญ่ทั้ง “แม็คโดนัลด์” “เบอร์เกอร์คิง” “มอสเบอร์เกอร์” เป็นต้น
ในปี 2565 คาร์ลซ จูเนียร์ ประเทศไทย ตัดสินใจปิดตัวลง แต่ยังดำเนินการในสหรัฐ และมีแฟรนไชส์ประเทศอื่นๆ ทั่วโลกอีก 43 ประเทศ
● โรตีบอย (Roti Boy) เรียกว่า เป็นแบรนด์ที่มาไวไปไวเจ้าหนึ่งเลยก็ว่าได้ เพราะพุ่งแรงอย่างถึงที่สุด ในปี 2548 ที่เข้ามาเปิดหน้าร้านในไทยครั้งแรกใจกลางสยามสแควร์ และยังขยายเพิ่มอย่างรวดเร็วอีก 3 สาขา ได้แก่ สาขาสีลม สาขาเซ็นทรัลลาดพร้าว และสาขาบิ๊กซีรามคำแหง
ความนิยมของ “โรตีบอย” กลายเป็นที่มาของการรับจ้างต่อคิวรอซื้อเพื่อให้ได้ขนมปังก้อนกลมหอมกาแฟมาลองชิมสักครั้ง โดยเว็บไซต์ “Thai SMEs Center” ระบุว่า ขณะนั้นโรตีบอยมียอดขายสูงสุดกว่า 20,00-30,000 ชิ้นต่อวัน มีการจำกัดการซื้อไม่เกิน 10 ชิ้นต่อคน จากราคาหน้าร้านก้อนละ 25 บาท กลายเป็นสนนราคา “รับหิ้ว” ที่ก้อนละ 30-35 บาท ขณะนั้นรูปร่างหน้าตาขนมปังแบบโรตีบอย นับเป็น “เรื่องใหม่” ในไทย เพราะยังไม่เคยมีขนมปังก้อนกลมเป็นเอกลักษณ์แบบนี้มาก่อน
แต่ไม่นานหลังจากนั้นก็มีร้านเบเกอรีในไทยเจ้าอื่นๆ ผลิตขนมปังในรูปแบบเดียวกันออกมาวางจำหน่าย ด้วยรสชาติและราคาที่ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก หรืออาจจะย่อมเยากว่าด้วยซ้ำไป กระแสของโรตีบอยจึงค่อยๆ เสื่อมความนิยมลง
ท้ายที่สุด “โรตีบอย” ต้องโบกมือลาประเทศไทยในปี 2550 ซึ่งปัจจุบัน “มาเลเซีย” ประเทศต้นกำเนิดโรตีบอยยังคงเปิดให้บริการอยู่ ส่วนสาขาแฟรนไชส์ในประเทศอื่นอย่างสิงคโปร์เองก็ได้ปิดกิจการลงแล้วเช่นกัน
● เอแอนด์ดับบลิว (A&W) ฟาสต์ฟู้ด “QSR” ที่มีเครื่องดื่ม “รูทเบียร์” เป็นลายเซ็นประจำร้าน เพิ่งประกาศปิดตัวลงเมื่อปี 2565 โดยเหตุผลหลักเนื่องจากขาดทุนสะสมติดต่อกันหลายปี ปี 2564 ขาดทุนกว่า 70 ล้านบาท ทั้งยังเจอกับมรสุมโควิด-19
ซ้ำหนักจนทำให้เกิดภาวะขาดทุนสะสมต่อเนื่อง กระทั่งตัดสินใจประกาศปิดกิจการลงเมื่อเดือนมีนาคม 2565
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่มีการประกาศปิดตัวลง แฟนๆ “เอแอนด์ดับบลิว” ก็ให้ความสนใจและทยอยเข้ามาอุดหนุนร้านค้าอย่างต่อเนื่อง ความน่าสนใจ คือ บริษัทเองก็อาศัยจังหวะ “น้ำขึ้นให้รีบตัก” ทันที มีการจัดโปรโมรชันเพื่อระบายสต๊อก รวมถึงยังออกสินค้า
มาสคอตประจำร้านอย่าง “ตุ๊กตาหมีรูทตี้” เพื่อให้แฟนๆ ที่โตมากับร้านได้เก็บสะสมเป็นของที่ระลึก
● บาสกิ้น ร็อบบิ้นส์ (Baskin Robbins) ทำเอาแฟนๆ ที่โตมากับไอศกรีมหอมนมเจ้านี้ช็อคไปตามๆ กัน เมื่อมีรายงานข่าวเมื่อช่วงปลายปี 2565 ว่า
ทยอยปิดสาขาทั่วประเทศเหลือเพียง 4 สาขาเท่านั้น ได้แก่ สาขาโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์, สาขาเค วิลเลจ,
สาขาสยามพารากอน และสาขาเดอะวอล์ค เกษตร-นวมินทร์ ซึ่งต่อมาในเดือนมีนาคม ปี 2566 ก็พบว่า ปิดกิจการทุกสาขาเรียบร้อยแล้ว โดยสาเหตุมาจากสภาวะขาดทุนสะสมต่อเนื่องหลายปี ผู้ถือลิขสิทธิ์ประกอบกิจการร้านไอศกรีม “บาสกิ้น ร็อบบิ้นส์” จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ระบุว่า
ตั้งแต่ปี 2560 ถึง 2564 บริษัทขาดทุนต่อเนื่องมาโดยตลอด และหากนับย้อนไปก็จะพบว่า ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา
“บาสกิ้นส์ ร็อบบิ้นส์” ขาดทุนรวมกว่า 128 ล้านบาท ทั้งยังไม่มีการทำการตลาดใหม่ๆ เมื่อเทียบกับร้านไอศกรีมเชนในระนาบเดียวกัน
ที่มีการออกโปรดักต์อย่างสม่ำเสมอ เป็นอันสิ้นสุดการเดินทางของไอศกรีมเก่าแก่จากสหรัฐ