"หลุมดำ" ทางวาร์ปสู่..จักรวาลอื่น
หลายคนคงเคยได้ดูภาพยนตร์แนว Sci-fi ท่องอวกาศ ที่มีการเดินทางทะลุมิติกาลเวลา หรือวาร์ปไปอีกสถานที่หนึ่งอย่างรวดเร็วโดยที่ยานอวกาศนั้นได้เดินทางเข้าไปในหลุมดำ แต่ทว่าการเดินทางข้ามมิติโดยอาศัย "หลุมดำ" เป็นสื่อกลางนั้น จะมีโอกาสที่เกิดขึ้นได้จริงหรือไม่?
ในใจกลางของหลุมดำมีรูหนอนที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่า เป็นอุโมงค์ที่สามารถจะทะลุไปยังพื้นที่ส่วนอื่นๆ ในจักรวาลได้ นักวิทยาศาสตร์ได้ยืนยันว่าหลุมดำอาจจะเป็นประตูไปสู่พื้นที่ส่วนอื่นๆ ในจักรวาล โดย ณ พื้นที่ใจกลางของหลุมดำนั้น อาจจะเป็นประตูหรืออุโมงค์เหมือนกับในภาพยนตร์และนิยายไซไฟ เพียงแต่ว่าหากวัตถุใดลอดผ่านหลุมดำเข้าไปแล้วนั้น ก็เป็นการยากที่จะสามารถเดินทางกลับคืนมายังที่เดิมได้
นอกจากนั้นนักวิทยาศาสตร์ยังอธิบายอีกว่า หากวัตถุใดๆ ก็ตามลอดผ่านหลุมดำเข้าไปแล้ว วัตถุนั้นจะถูกบีบอัดให้ยืดยาวออกไปเหมือนกับเส้นสปาเกตตี้ ซึ่งนักฟิสิกส์เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า Spaghettification และวัตถุนั้นก็จะกลับมามีรูปร่างเหมือนเดิม เมื่อลอดผ่านหลุมดำนั้นมาได้ แต่สำหรับมนุษย์แล้วนั้นไม่สามารถที่จะลอดผ่านหลุมดำได้ เนื่องจากอาจจะเสียชีวิตจากการถูกยึดของอะตอมเสียก่อน
"หลุมดำ" ถือได้ว่าเป็นวัตถุที่มีความลึกลับมากที่สุดในจักรวาล มันมีแรงดึงดูดมากมายมหาศาล จนสามารถที่จะดูดกลืนกินดวงดาวได้แบบไม่รู้จักอิ่ม โดยที่จุดศูนย์กลางของหลุมดำนั้น คาดกันว่ามันอาจจะมีสภาวะแบบ Singularity (ซิงกูลาริตี) ซึ่งถือว่าเป็นสภาวะพิเศษที่ทฤษฎีทางฟิสิกส์ต่างๆ ที่เรารู้จักกันนั้นไม่สามารถนำมาใช้งานได้ จุดที่มวลสารขนาดใหญ่จะถูกบีบจนเหลือเป็นเพียงหน่วยที่มีขนาดเล็กเป็นอนันต์ แต่ในทางตรงกันข้ามก็จะมีมวลมากเป็นอนันต์เช่นเดียวกัน
ความหนาแน่น และความร้อนของ Singularity ทำให้ "หลุมดำ" มีคุณสมบัติที่สามารถทำให้กาลอวกาศ (Spacetime) เกิดความบิดเบี้ยว และทำให้มีความเป็นไปได้มาก ที่เราจะใช้ "หลุมดำ" เป็นสื่อกลางในการเดินทางข้ามมิติกาลเวลาแบบ Hyperspace travel ซึ่งมันอาจจะทำให้เราเดินทางข้ามระยะทางหลายล้านปีแสงได้ในช่วงระยะเวลาเพียงแว็บเดียวเท่านั้น
แต่ล่าสุดนั้น ทางทีมวิจัยจาก University of Massachusetts Dartmouth รวมถึงทีมงานจาก Georgia Gwinnett College ได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการใช้หลุมดำเป็นประตูมิติเวลา
ถ้าหลุมดำอย่าง Sagittarius A* (ซาจิททาริอัสเอ*) ที่อยู่ในใจกลางของกาแลคซี่เรานั้นมีขนาดใหญ่ และมีสภาพที่หมุน นั่นก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะใช้หลุมดำเป็นประตูวาร์ปไปสู่ยังที่อื่น ๆ อันไกลโพ้น เนื่องจากสภาวะ Singularity ในหลุมดำที่มีขนาดใหญ่ และมีสภาพหมุนนั้นอาจจะอ่อนแรงเอามากๆ จนทำให้ยานอวกาศสามารถที่จะเคลื่อนที่ผ่านไปได้ โดยไม่ถูกทำลายเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งแนวความคิดนี้มันจะเป็นอะไรที่แปลกใหม่ และค้านกับความเชื่อเดิมๆ เกี่ยวกับหลุมดำ
โดยในปี คศ.2016 นักศึกษาในระดับปริญญาเอก "Caroline Mallary" ได้เกิดปิ๊งไอเดียขึ้นมา จากการดูหนังดังของผู้กำกับอย่าง Christopher Nolan เรื่อง Interstellar ที่ว่าด้วยเรื่องของการสำรวจอวกาศ เพื่อหาดาวดวงใหม่ที่จะใช้เป็นบ้านหลังใหม่ให้กับเหล่ามวลมนุษยชาติ โดยที่พระเอกของเรื่องอย่าง Cooper เป็นนักบินอวกาศที่สามารถรอดชีวิตจากการเข้าไปอยู่ในหลุมดำ ที่มีชื่อว่า Gargantua (เป็นหลุมดำที่ไม่มีอยู่ในความจริง) โดยหลุมดำนี้มีขนาดใหญ่ และมีสภาพที่หมุนอย่างรวดเร็ว และมีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ถึง 100 ล้านเท่า
สิ่งที่คุณ Caroline Mallary ได้ค้นพบก็คือ ไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะใด ๆ ก็ตาม หากวัตถุที่เดินทางเข้าไปในหลุมดำที่มีสภาพหมุน จะไม่ได้รับผลกระทบอย่างมากมายมหาศาล ถึงแม้จะหลุดเข้าไปถึงโซนชั้นในของหลุมดำอย่าง Singularity ก็ตาม ซึ่งใน Singularity นั้นเป็นโซนที่วัตถุที่เดินทางเข้าไปในหลุมดำที่มีสภาพหมุน ไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะเข้าสู่ในโซนนี้ได้ และถ้าหากการคาดคำนวณนั้นถูกต้องด้วยแล้ว เอฟเฟคที่เกิดจากการเดินทางในโซน Singularity นั้นอาจจะบางเบามาก จึงทำให้ยานอวกาศสามารถที่จะเดินทางข้ามผ่านไปได้ ทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่เราจะใช้หลุมดำขนาดใหญ่ที่มีสภาพหมุน เป็นประตูเพื่อเดินทางผ่านมิติเวลาไปได้เลย นอกจากนี้ทางคุณ Caroline ยังได้ค้นพบอีกว่า เอฟเฟคของ Singularity ในหลุมดำที่มีสภาพหมุนนั้น จะทำให้เกิดวัฏจักรของการบีบอัดที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วกับยานอวกาศ ซึ่งต่างจากหลุมดำที่มีขนาดใหญ่มากๆ อย่าง Gargantua และเอฟเฟคนี้จะเกิดขึ้นก็แค่เพียงแผ่วเบาเท่านั้น จึงทำให้ทั้งยานอวกาศ และผู้โดยสารในยาน อาจจะไม่รู้สึกถึงเอฟเฟคนี้เลยด้วยซ้ำไป
แต่อย่างไรก็ตาม ข้อมูลการค้นพบดังกล่าว ก็ไม่ถือเป็นเรื่องที่แปลกใหม่อะไร เพราะจากทฤษฎีของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เองก็เคยได้กล่าวเอาไว้แล้วว่าอาจจะมีรูหนอนในจักรวาล..ก็เป็นได้