การรับมือกับภาวะเงินเฟ้อ
ภาวะเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น ประชาชนไทยต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น
ภาวะเงินเฟ้อในประเทศไทยกำลังพุ่งสูงขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนพฤษภาคม 2566 อยู่ที่ 7.4% ซึ่งนับเป็นระดับสูงสุดในรอบ 14 ปี ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นเป็นผลมาจากหลายปัจจัย ได้แก่
- สงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานและอาหารโลก ซึ่งทำให้ราคาสินค้าและบริการอื่นๆ สูงขึ้นด้วย
- การขาดแคลนแรงงาน ตลาดแรงงานกำลังประสบกับภาวะขาดแคลนแรงงาน ซึ่งทำให้นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างที่สูงขึ้นเพื่อดึงดูดและรักษาพนักงาน สิ่งนี้ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น และทำให้ราคาสินค้าและบริการสูงขึ้น
- การพิมพ์เงิน ธนาคารแห่งประเทศไทยได้พิมพ์เงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 สิ่งนี้ทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น เพราะเงินที่พิมพ์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่สินค้าและบริการมีจำนวนเท่าเดิม
ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นส่งผลกระทบต่อผู้คนทุกระดับของสังคม ผู้คนกำลังต้องจ่ายเงินมากขึ้นสำหรับอาหาร ที่อยู่อาศัย และสินค้าอื่นๆ ซึ่งทำให้คุณภาพชีวิตลดลง รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยกำลังพยายามที่จะควบคุมภาวะเงินเฟ้อ แต่อาจต้องใช้เวลาสักระยะกว่าที่ภาวะเงินเฟ้อจะกลับสู่ระดับปกติ
ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำสำหรับประชาชนในการรับมือกับภาวะเงินเฟ้อ:
- ประหยัดเงิน: ผู้คนควรพยายามประหยัดเงินให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะสามารถใช้จ่ายได้เมื่อราคาสินค้าและบริการสูงขึ้น
- วางแผนการใช้จ่าย: ผู้คนควรวางแผนการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ เพื่อที่จะสามารถใช้จ่ายเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เลือกซื้อสินค้าที่มีราคาไม่แพง: ผู้คนควรเลือกซื้อสินค้าที่มีราคาไม่แพง เพื่อประหยัดเงิน
- ลงทุน: ผู้คนควรลงทุนเพื่อเพิ่มรายได้ ซึ่งจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อ
ภาวะเงินเฟ้อเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนทุกระดับของสังคม รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยกำลังพยายามที่จะควบคุมภาวะเงินเฟ้อ แต่อาจต้องใช้เวลาสักระยะกว่าที่ภาวะเงินเฟ้อจะกลับสู่ระดับปกติ ประชาชนควรติดตามข่าวสารและข้อมูลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด และควรทำตามคำแนะนำของรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อรับมือกับภาวะเงินเฟ้อ
อ้างอิงจาก: ธนาคารแห่งประเทศไทย
สำนักงานสถิติแห่งชาติ
กระทรวงพาณิชย์
เว็บไซต์ข่าวต่างๆ