ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ผู้ชายโกหกมากกว่าผู้หญิงถึง 3 เท่า
ทุกคนชอบความจริงและรู้ดีว่าการโกหกเป็นสิ่งไม่ดี แต่ทำไมคนส่วนใหญ่ในโลกยังโกหกอยู่คนเราเวลาเจอสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน หรือบางครั้งเกิดความกลัวไปเองก็เลยโกหกออกไป เพื่อเอาตัวรอดจนเกิดความโล่งอก คนโบราณใช้คำว่า “ ขายผ้าเอาหน้ารอด ” แต่หลังจากนั้นสิ่งที่ตามมาอย่างแรกคือ ความกังวลใจความกลัวที่จะถูกเปิดเผยความจริง ยิ่งกลัวเท่าไรยิ่งมีโอกาสที่จะโกหกต่อเพื่อปกปิดหรือเบี่ยงเบนเรื่องราว ต่อ ๆ ไป จนบางทีเรื่องกลับกลายเป็นลุกลามมากขึ้นเรื่อย ๆกลายเป็นอีกสถานการณ์หนึ่งที่คาดไม่ถึงไม่สามารถกลับคำได้แล้วกลายเป็นนิสัยโกหกอย่างถาวร พูดอะไรไม่ตรงเบี่ยงประเด็นไปมาแก้ไม่หาย
สิ่งหนึ่งที่เป็นจริงอยู่คือ “ ความลับไม่มีในโลก ” เพราะฉะนั้นความจริงจะถูกเปิดเผยออกมาไม่ช้าก็เร็ว ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดและสุดท้ายผู้ที่โกหกจะกลายเป็นคนที่โดดเดี่ยวเพราะไม่มีใครไว้ใจคนที่โกหกอย่าคิดว่าคนอื่นไม่รู้ทัน แต่บางทีที่เขาไม่พูดเพราะรักษามารยาทถ้าเรื่องใหญ่ก็เก็บไปพูดกันลือลั่นสนั่นเมือง ทำให้ผู้โกหกเสียหายหมดเครดิตไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วย
นักจิตวิทยา ค้นพบว่า มนุษย์เราโกหกตั้งแต่ทารกอายุ 6 เดือน คือการแกล้งร้องไห้ ดูว่าจะมีคนมาโอ๋ไหม อายุ 2 ขวบ พูดได้ก็เริ่มโกหกด้วยคำพูดพออายุ 5 ขวบ วิธีการโกหกจะพัฒนามากขึ้นไปอีกตามหลักนักจิตวิทยามองว่าการโกหกของเด็กเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นเอง คือมีความบริสุทธิ์ใจ เพราะเด็กยังแยกจินตนาการกับความจริงไม่ออกเด็กมักโกหกเพราะความกลัว หรือต้องการเลียนแบบ คือเลียนแบบจากสื่อทางทีวีเลียนแบบจากละครน้ำเน่า หรือเรียกร้องความสนใจจากผู้ใหญ่
พอเติบโตขึ้น ระดับความโกหกจะซับซ้อนมากขึ้นเช่น ผู้หญิงใช้สมองซีกขวาได้ดี สามารถเก็บอารมณ์ความรู้สึกได้ดีกว่าผู้หญิงส่วนใหญ่จึงโกหกเพื่อรักษาหรือ ถนอมน้ำใจคนที่อยู่ใกล้ชิด ในขณะเดียวกันผู้ชายมักจะโกหกเพื่อผลประโยชน์ หรือเพื่อปกปิดเรื่องราวบางอย่างโดยเห็นว่าการโกหกเป็นทางออกที่ง่ายที่สุด
โดยสถิติทั่วไปผู้ชายจะโกหกประมาณ 6 ครั้งต่อวัน ส่วนผู้หญิงจะโกหกประมาณ2ครั้ง ต่อวัน ผู้ชายโกหกมากกว่าผู้หญิงถึง 3 เท่าแต่เขานับทุกอย่างแม้กระทั่งเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปด้วย เช่น ถามว่า สบายดีไหมอ๋อ! ไม่เป็นไร สบายดี ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วไม่ค่อยสบายแต่ไม่อยากจะคุยไม่อยากจะพูดมาก หรือคิดว่า จะพูดให้คนอื่นเขารู้เรื่องของเราไปทำไม