(ชวนมาอ่านนิยายสนุกๆ) เรื่อง เสน่หารักนี้คือเธอ โดย...กนกรส
นิยายเรื่อง เสน่หารักนี้คือเธอ (นามปากกา กนกรส) แนวนิยายรัก
วางจำหน่าย ในรูปแบบนิยายออนไลน์ (ebook)
แพลตฟอร์มที่วางจำหน่าย : Meb ธัญวลัย นายอินทร์ Ookbee
สามารถ เข้าอ่านเนื้อหา ฉบับเต็มได้ตาม แพลตฟอร์มนิยายชั้นนำทั่วไป อาทิเช่น...
( Dek-d , readAwrite , ธัญวลัย , Hongsamut , fictionlog )
------------------------------
อารัมภบท...
ความในใจของผู้ชายที่ชื่อ...อานนท์ บูรณกำจร…
“นนท์คะ ช่วยหยิบตะกร้าหวายตรงโต๊ะมุมห้องมาให้หน่อยสิคะ มุขจะจัดตะกร้าขนมหวาน เอาไปให้คุณแม่ของนนท์เย็นนี้”
อ้า...เสียงหวานของภรรยาตัวน้อยของผมดังมาจากห้องครัว
“ครับมุข...”
ผมหยุดความคิดลง พร้อมวางอัลบั้มรูปภาพของเธอไว้ในกล่องอย่างดี ผมชอบแอบถ่ายรูปตอนเธอทำงานบ้านยามเผลอ มันทำให้ผมรู้สึกดีอย่างแปลกประหลาด ทุกครั้งที่ผมเห็นเธอเดินป้วนเปี้ยนอยู่ในบ้าน ผมจะถ่ายรูปเธอเก็บไว้
เพราะรูปภาพเหล่านี้ก็เหมือนตัวแทนของความทรงจำในอดีต ให้ระลึกถึงแม้ยามที่เราแก่เฒ่า นี่คือภรรยาสุดที่รักของผม ชีวิตของผมที่ถูกเติมเต็มด้วยเธอคนนี้คนเดียว
เสน่หารักนี้คือเธอ....
* ลิงค์เข้าโหลดอีบุ๊ก(ฉบับเต็ม) เสน่หารักนี้คือเธอ meb * - https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTA5NTcwOSI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjU6Ijc1MTE1Ijt9
งานพิเศษ...
ร่างผอมบางซึ่งประกอบไปด้วยดวงหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรากำลังเร่งมือสวมชุดยูนิฟอร์มของทางร้านมือเป็นระวิง เมื่อเพื่อนสาวเพิ่งนำมันมาให้เธอสวมใส่แทนไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ก่อนเจ้าตัวจะชิ่งหนี กระโดดขึ้นซ้อนรถมอเตอร์ไซค์คนรักเพื่อไปกินเลี้ยงงานวันเกิดกับแฟนหนุ่มอย่างสบายใจเฉิบ ทิ้งไว้เพียงคำขอบอกขอบใจมากมาย ที่เธออุตส่าห์ยอมตกปากรับคำมาทำงานแทนให้ในวันนี้ จะขอลาหยุดไปเลยทางผู้จัดร้านก็ไม่ยอม เนื่องจากวันนี้จะมีลูกค้าวีไอพีเข้ามาใช้บริการ แถมยังสั่งปิดชั้นสองทั้งชั้นให้กับแขกคนสำคัญคนนี้เสียด้วย ทางร้านจึงติดประกาศห้ามลาหยุดไว้ตั้งแต่เมื่อวาน ทำให้แม่เพื่อนสาวเธอเต้นผาง วิ่งแจ้นรีบมาดักรอพบเธออยู่หน้าบ้าน เร้าหรือขอให้เธอนั้นช่วยมาทำงานพิเศษนี้แทนให้ที เพราะใจนั้นอยากหยุดไปฉลองวันเกิดกับคนรักมากกว่าต้องมาทำงานหน้าเป็นมันเยิ้ม
และนี่ก็ไม่ใช่หนแรกที่เธอรับทำงานพิเศษให้กับเพื่อนสาวคนนี้ ยามว่างจากการออกเวรงานประจำ เธอมักมาขอทำงานร้านอาหารกึ่งผับนี้อยู่เนืองๆ เพื่อเป็นการหารายได้เพิ่ม เก็บไว้เป็นค่าใช้จ่ายภายในครอบครัวเล็กๆน้อยๆก็ยังดี เธออยากแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของผู้เป็นป้าบ้าง เห็นท่านทำงานไม่หยุดแล้วก็สงสาร เพราะมีเหตุบางประการที่ท่านยังหยุดทำงานไปเลยไม่ได้ในช่วงนี้
มุขธิดายอมรับปากทำงานในวันนี้แทนให้ เมื่อเธอเห็นว่าจะได้เงินหลายบาท พอเอาไว้จ่ายค่าดอกแทนป้าในวันพรุ่งนี้ได้ เจ้าหนี้นอกระบบขาโหดปากร้าย มักเรียกเก็บดอกเบี้ยแพงหูฉีก เรียกได้ว่าขูดเลือดขูดเนื้อกันเห็นๆเลยก็ว่าได้ ถ้าไม่มีให้มันตามกำหนด มันก็ทำร้ายร่างกาย แม้แต่ผู้หญิงหรือกระทั่งคนแก่มันก็ไม่ละเว้น บางครั้งทำคนยังไม่สาแก่ใจมากพอ มันยังพาลหันกลับมาทำลายข้าวของจนพังย่อยยับไปเลยก็มี
เงินค่าดอกที่ป้าละมัยกู้มาประกันตัวลูกชาย ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอ พี่โมชถูกโรงงานกล่าวหาเรื่องทุจริต ลักลอบนำอะไหล่รถยนต์ออกมาขาย ความจริงเป็นเช่นไรเธอเองก็ไม่รู้เรื่องมากมายนักหรอก แต่เธอเชื่อว่าพี่โมชไม่มีทางทำแบบนั้นอย่างแน่นอน เธอสงสารพี่ชาย เขาเป็นคนดี คนขยัน ตั้งใจทำงาน แต่คนดีก็ใช่จะมีคนรักเสมอไปซะเมื่อไหร่ มีคนรักย่อมมีคนชังเป็นของคู่กัน
เป็นสัจธรรมข้อหนึ่งที่แม้แต่ตัวเธอเองยังเลี่ยงไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
ยิ่งได้ฟังจากปากของพี่โมช เขาบอกถูกทางโรงงานใส่ร้าย เขาไม่ได้ขโมยของพวกนั้นสักชิ้นเดียว เขาถูกยัดเยียดให้กลายเป็นแพะรับผิดแทนญาติของเจ้าของโรงงานที่นั่น หัวขโมยตัวจริง ตอนนี้คดีอยู่ในขั้นตอนสืบพยานหาหลักฐานประกอบ ด้วยน้ำเงินของทางฝั่งนั้น เธอกับป้าคงได้แต่ภาวนา ขอให้สวรรค์มีตา ช่วยเหลือคนดีอย่างพี่ชายเธอให้พ้นผิดด้วยเถิด แต่ก็นั่นแหละ ความดีมักแพ้อำนาจของเงินเสมอ
ตอนนี้พี่โมชตกงานอยู่กับบ้าน ถึงจะออกหางานแต่ก็ยังไม่มีที่ไหนรับ ภาระหลายอย่างจึงตกมาอยู่กับเธออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ลำพังค่าแรงวันละไม่กี่บาทของป้าเธอ ซึ่งท่านออกไปรับจ้างเป็นแม่ครัวตามร้านอาหารตามสั่ง คงไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายต่างๆ หรือแม้กระทั่งให้ค่าดอกรายวันที่แสนโหด เธอจึงต้องลุกขึ้นมาทำงานพิเศษ เพื่อให้ได้เงินมาจุนเจือครอบครัวอีกแรงหนึ่ง
“แต่งตัวเสร็จหรือยังล่ะมุข จะได้ออกมาช่วยพี่ดูแลแขกข้างนอก ตอนนี้แขกเริ่มทยอยเข้ามานั่งดื่มกันหนาตามากแล้วนะ ดูสิเหลือพนักงานช่วยกันข้างล่างอยู่ไม่กี่คนเอง คุณพิต้าเธอเล่นสั่งให้เกณฑ์พนักงานคนอื่นขึ้นไปคอยช่วยบริการแขกวีไอพีชั้นสองซะเกือบหมด เหลือดูแขกข้างล่างไม่กี่คนเท่านั้นแหละ พี่ละเบื่อ”
พลอยชะโงกหน้าเหน็ดเหนื่อยโผล่ออกมาตรงช่องประตู ปากก็บ่นไม่หยุดหย่อน เพราะตัวเองนึกเสียดายที่ไม่ได้ถูกเกณฑ์ให้ขึ้นไปทำงานชั้นสองเหมือนกับคนอื่น แต่กลับถูกสั่งให้ดูแลแขกชั้นล่างแทน
“ใกล้เสร็จแล้วจ้ะพี่พลอย...” มุขธิดาส่งเสียงขานรับ เมื่อเธอสวมใส่รองเท้าส้นสูงขนาดสามนิ้วเรียบร้อยพอดี ส่องดูความเรียบร้อยของตัวเองในกระจกบานใหญ่อีกครั้ง มีตรงไหนโป๊เกินไปหรือเปล่า จนไม่เห็นความบกพร่องใด ร่างระหงในชุดฟอร์มเชิ้ตสีขาวแขนยาวสวมใส่ในกระโปรงทรงสอบสีดำสั้นเหนือเข่ากับรองเท้าหนังส้นสูงสีเดียวกันกับกระโปรง พอเช็คทุกอย่างเรียบร้อย เธอจึงเดินจ้ำอ้าวตามหลังรุ่นพี่ไปติดๆ
วันนี้เธอไม่มีเวรต้องเฝ้าไข้ที่โรงพยาบาล เลยมีเวลาเหลือพอจะหางานเสริมทำได้ พอเจอเพื่อนสาวมาดักรอถึงหน้าบ้านในตอนเช้าให้มาทำงานในผับกึ่งร้านอาหารแห่งนี้แทน มุขธิดาจึงรีบรับปาก ตอบรับในทันที ขอให้เป็นงานที่ได้เงิน เธอทำได้ทั้งนั้น ไม่คิดเกี่ยงงอนละทิ้งโอกาส ขอเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น งานที่เธอทำต้องเป็นงานสุจริตไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใครเป็นพอ..
“ชั้นสองเขามีงานอะไรกันหรือจ๊ะพี่พลอย ทำไมคุณพิต้าเธอถึงได้ให้พนักงานขึ้นไปช่วยงานข้างบนกันเยอะจัง”
เมื่อเดินตามหลังรุ่นพี่ออกมาจนถึงโซนบาร์ ไฟทุกดวงถูกเปิดให้มืดสลัว ช่วยบดบังดวงหน้างดงามไม่ให้เป็นจุดสนใจพอสมควร ถึงเธอจะไม่ได้สวยหมดจดจนคนต้องหันหลังมองซ้ำ แต่ผิวขาวราวหยวกกล้วยของเธอ บางครั้งดันไปสะดุดตาพวกแขกขี้เมาเข้า ทำให้เธอเคยถูกลวนลามจับนู้นแตะนี่ก็มี ดีที่ได้รุ่นพี่ใจดีคอยช่วยพูดให้ เธอจึงรอดพ้นจากชายหนุ่มบ้าตัณหามาได้
มุขธิดามองขึ้นไปยังชั้นสอง ตอนนี้มีพนักงานทางร้านหลายคน พากันเดินขวักไขว่เต็มไปหมด ดูอลหม่านจนเธอตาลาย คิดว่าตัวเองโชคดีแค่ไหน ที่ไม่ถูกเกณฑ์ให้ขึ้นไปทำงานบนนั้น
“ก็คุณนนท์เพื่อนชายคนสนิทของคุณพิต้าเธอน่ะสิ พาลูกค้าจากต่างประเทศมาเลี้ยงรับรองที่นี่ สั่งปิดชั้นสองทั้งแถบเลยนะ พี่ละเสียดายเงินทิปจะตาย คงจะมีแต่พวกเศรษฐีรวยๆทั้งนั้นบนชั้นสองนั่นนะ” พลอยถอนใจนึกเสียดายเงินทิปหนักๆจากแขกบนนั้น หลายครั้งที่แฟนของคุณพิต้าพาลูกค้ามาปิดร้านเลี้ยงที่นี่ แต่ละครั้งพวกเธอที่ถูกแบ่งให้ขึ้นไปช่วยดูแลความเรียบร้อย มักจะได้ทิปกันไม่เบา บางครั้งได้มากกว่าค่าแรงทั้งเดือนก็มี และครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกันนัก ถ้าจะต่างก็ตรงที่เธอไม่ได้ขึ้นไปทำงานตรงส่วนนั้นมากกว่า
“ใช่คุณอานนท์ เที่ยงบูรณกำจรหรือเปล่าจ๊ะพี่...”
ชื่อเสียงของชายหนุ่มเป็นที่เรื่องลือของหมู่พนักงานในร้านอาหารกึ่งผับแห่งนี้ ต่างเล่ากันปากต่อปาก ถึงความเพอเฟคตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าของชายหนุ่มคนดัง ดูช่างเหมาะสมกับเจ้านายสาวของพวกตนเสียเหลือเกิน สวยหล่อเหมาะสมกันดีทั้งคู่ เลยสร้างความอิจฉาต่อสาวๆในร้านกันถ้วนหน้าและรวมหมายถึงพลอยด้วยอีกคน รายนี้มักแอบนินทาเจ้านายสาวลับหลังอยู่บ่อยครั้ง ไม่ได้พูดเยินยอเหมือนกับเพื่อนสาวคนอื่นๆในร้าน ส่วนใหญ่มักจะพูดในทางลบเสียมากกว่า
“นั่นละ จะมีใครเสียอีก ทั้งหล่อทั้งรวย คุณพิต้าถึงได้หลงหนักขนาดนี้ไง เห็นคุณนนท์พาลูกค้ามาเลี้ยงรับรองที่นี่ทีไร วุ่นวายกันไปหมดทั้งร้านตลอด” พลอยลงน้ำหนักเสียงยืนยัน รู้สึกอิจฉาเจ้านายสาวสุดๆ
จนกระทั่งทั้งคู่เดินมาหยุดยืนตรงหน้าบาร์เครื่องดื่ม เพื่อรอให้บริการลูกค้า หากความสงสัยของมุขธิดานั้นยังไม่หมดสิ้น นับว่าเป็นความบังเอิญ เมื่อครั้งหนึ่งเธอเคยเจอผู้ชายนิสัยดุร้ายคนนี้มาแล้วที่บ้านสวนของคุณเสือ เธอพอจำเขาได้...
“เขาเป็นแฟนกับคุณพิต้าจริงๆหรือจ๊ะพี่พลอย”
เธอถามขึ้นเพื่อความแน่ใจ แม้ว่าตนเองนั้นจะเคยได้ยินมาบ้างแล้วก็ตาม ผู้ชายหน้าดุคนนั้นเป็นคนรักของคุณพิต้า เจ้าของผับกึ่งร้านอาหาร backgroundแห่งนี้จริงอย่างที่เธอเคยได้ยินพนักงานพูดถึงกัน บางคนบอกว่าใช่ หลายเสียงแค่บอกอาจจะ แต่ยังไม่มีใครยืนยันถึงความสัมพันธ์ของสองคนนี้ แท้จริงนั้นเป็นคนรักกันหรือแค่เพื่อนสนิทเท่านั้น
แต่ที่ทำให้เธอรู้สึกแปลกใจ ทำไมโลกถึงได้กลมจังนะ แต่เขาไม่น่าจะจำเธอได้หรอก เพราะผู้หญิงอย่างเธอมันไม่มีอะไรให้น่าจดจำสักเท่าไหร่นี่นา ช่างแตกต่างกับเขานัก ที่เธอยังจำผู้ชายนิสัยโหดคนนั้นได้จำฝังใจ
ความร้ายกาจของเขา ที่พรากคนรักให้ต้องจากกัน...
เขาพาลูกน้องบุกมาบ้านของคนไข้ของเธอ มาถึงก็วางอำนาจใหญ่โต เขายังทำร้ายร่างกายของเธอด้วย ก้นเธอเจ็บร้าวระบบไปตั้งหลายวันกว่าจะหายดี แรงผลักไม่ใช่เบาๆ พอเธอล้มก้นกระแทกพื้น สายตาเขาดูซะใจพิลึก
จำได้ว่าเขาเป็นพี่ชายของคุณนิ่ม ภรรยาสาวคนสวยของคุณเสือ วันนั้นเกิดเรื่องขึ้นตั้งมากมาย ทั้งทะเลาะกัน ชกต่อยกัน สุดท้ายมีน้ำตาเจิ่งนอง เธอคิดจะเข้าไปห้ามก็ทำไม่ได้ เพราะมีแต่คนอารมณ์เดือดกันทั้งสองฝ่าย เธอยืนงงเป็นไก่ตาแตก ได้แต่มองคนนั้นทีคนนี้ที และเรื่องทุกอย่างจบลงด้วยความเศร้าเสียใจของทุกฝ่าย คุณนิ่มทิ้งคุณเสือไปกับพี่ชายจอมโหดของเธอ โดยไม่หันหลังกลับมาบ้านสวนแห่งนี้อีกเลยนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
เธอถูกเลิกจ้างในวันถัดมา เมื่อความจริงแล้ว คุณเสือไม่ได้เป็นอะไร เขาแกล้งป่วย เพื่อเรียกร้องให้ภรรยามาดูแล มารยาชายดูจะเกินร้อยเล่มเกวียน ไม่รู้ระหว่างคุณเสือกับคุณนนท์ ใครจะร้ายกาจกว่ากัน แม้เธอจะรู้สึกสงสารคุณเสือที่ถูกคุณนิ่มทิ้ง แต่คำพูดร้ายกาจในวันนั้นของชายหนุ่ม เธอเองยังรู้สึกเจ็บปวดแทนคุณนิ่มไม่หาย...
หลังจากนั้นเธอจึงกลับมาทำงานที่โรงพยาบาลตามปรกติ และไม่ได้ยินข่าวคราวของครอบครัวนี้อีกเลย ไม่รู้คุณเสือตามไปง้อคุณนิ่มสำเร็จหรือยัง ยิ่งคุณนิ่มท้องใกล้คลอดอยู่ด้วย กำลังใจจากสามีย่อมสำคัญ เธอได้แต่หวัง ขอให้คุณนิ่มยอมยกโทษให้คุณเสือ ครอบครัวจะได้กลับมาสมบูรณ์แบบเหมือนดั้งเดิมเสียที...
“ได้ข่าวว่าใช่นะ แต่พี่ก็ไม่รู้อะไรมาก เห็นคุณพิต้าเธอควงอยู่หลายคนเหมือนกัน แต่คนนี้น่าจะพิเศษกว่าใครเพื่อน” พลอยลดเสียงให้ต่ำลง เมื่อเอ่ยถึงเจ้านายสาวแสนสวย ตอนนี้คงจะคลุกอยู่กับแขกวีไอพีนั่นแหละ คงไม่ลงมาเดินตรวจงานชั้นหนึ่ง หรือดีไม่ดีคงกลัวรถไฟจะชนกันหลายขบวน ถ้าหากเจ้าตัวลงมาดูแลแขกด้านล่าง
“พี่ไม่อยากจะพูด...” พอได้เริ่มพูดถึงเจ้านายที่ใจรู้สึกอิจฉามาโดยตลอด ปากจึงเริ่มคันยิบๆขึ้นมา พลอยมองซ้ายมองขวา ก่อนจะป้องปากกระซิบพูดข้างหูสวย
“คุณพิต้าเธอมั่วจะตาย” มุขธิดายิ้มแหย ไม่กล้าขยับปากวิพากษ์วิจารณ์ผสมโรงในเรื่องที่ตัวเองไม่รู้จริง เธอรู้สึกอึดอัดใจมากกว่า กับเรื่องส่วนตัวของเจ้านาย ยิ่งเป็นเรื่องในทำนองนี้ เธอไม่ขอยุ่งด้วยจะดีที่สุด ถ้าไม่ใช่เรื่องจริง คุณพิต้าจะพลอยเสียชื่อเสียงตามไปด้วย
“เธอควงผู้ชายไม่เคยซ้ำหน้า...” พลอยยังคงพูดต่อเป็นน้ำไหล ส่วนคนรับฟังทำได้เพียงยืนยิ้มอ่อน
หากคนติดพันกับการนินทาเรื่องเจ้านาย กลับถูกเบรกดังเอี๊ยด เมื่อเสียงทุ้มนุ่มของผู้จัดการหนุ่มร้องเตือนอยู่ทางด้านหลังบาร์ ไม่ห่างจากจุดของทั้งสองคนยืนอยู่ สรเพชรส่ายหัวแต่ยังส่งยิ้มบางให้กับพนักงานชั่วคราวอย่างนึกเอ็นดู เขาเป็นหัวหน้าของที่นี่ย่อมรู้จักนิสัยใจคอของลูกน้องในปกครองแต่ละคนของตนเองเป็นอย่างดี ใครมีนิสัยเป็นไรกันบ้าง...
“สาวๆอย่าลืมดูแลลูกค้าโต๊ะนั้นให้พี่ด้วยนะครับ...”
“ค่ะพี่สร...” มุขธิดาขานรับเสียงขันแข็ง พร้อมแอบระบายลมหายใจโล่งอกออกมา เพราะตนเองไม่อยากฟังคำนินทาของใครสักเท่าไหร่ เพราะมันอาจทำให้คนถูกกล่าวถึงเสียหายเอาได้ ในเมื่อเรื่องที่พลอยพูดถึงอยู่นั้น มันออกไปในทางลบมากกว่าในทางบวก
“นั้นมุขไปรับลูกค้าโต๊ะนั้นให้นะคะพี่พลอย” เธอรีบขยับขาขออาสาออกไปรับออเดอร์โต๊ะนั้นเสียเอง พลอยไม่ขัดข้อง ถูกใจเสียอีกเมื่อมีคนขยันมาช่วยทำงาน
“จ้ะ...ไปเลย” พลอยตอบรับพร้อมรอยยิ้ม หันหลังไปหยิบเครื่องมือขนาดเล็กสำหรับจดออเดอร์ส่งให้มุขธิดา รู้สึกชอบใจเหลือเกินกับเพื่อนร่วมงานแบบนี้ ขยัน ไม่เอาเปรียบ แถมยังมีน้ำใจ ถ้ามาแทนแม่ชมพู่บ่อยๆก็น่าจะดีไม่น้อย
มุขธิดาล้วงเอาอุปกรณ์จดออเดอร์ออกจากกระเป๋ากระโปรง พร้อมกับเดินเข้าไปดูแลลูกค้าโต๊ะด้านในสุด ไฟตรงนั้นสว่างจ้าเนื่องจากบนเพดานประดับโคมไฟทรงกลมไว้หลายอัน ระดับความสูงก็ลดหลั่นกันไป ส่วนดีไซน์โต๊ะอาหารโซนนี้ก็สุดเก๋ไก๋ พนักพิงหุ้มหนังสีดำ สูงระดับหน้าอกของเธอเท่านั้น หากทว่าพื้นนั่งกลับเตี้ยเกือบติดพื้น ดูแปลกตาดีเหลือเกิน
ตอนนี้มีหนุ่มนักศึกษาอายุประมาณยี่สิบต้นๆนั่งจับจองล้อมโต๊ะกันถึงสี่คน แต่ละคนยังสวมชุดนักศึกษาติดเข้มสถาบันชัดเจนตรงหน้าอก พกพาเอาใบหน้าละอ่อนหล่อเหล่า ดูเป็นจุดน่าสนใจให้บรรดาสาวๆรอบข้างจับจ้องตาเป็นประกาย
ในตอนแรกพี่พลอยขยับจะเข้ามารับเอง แต่ติดลูกค้าอีกโต๊ะหนึ่งที่อยู่ในความรับผิดชอบของเจ้าตัว ลูกค้าโต๊ะนั้นเดินเข้ามาสะกิดเพื่อขอความช่วยเหลือบางอย่าง มุขธิดาซึ่งเพิ่งเดินกลับมาถึงเคาน์เตอร์บาร์พอดี หลังจากนำเครื่องดื่มไปเสิร์ฟให้ลูกค้าเสร็จพอเห็นพี่พลอยพยักพเยิดส่งสัญญาณให้เธอเข้าไปรับลูกค้าโต๊ะนั้นแทน เธอจึงไม่คิดอิดออด รีบสาวเท้าขยับเดินเข้าไปต้อนรับลูกค้าต่อในทันทีด้วยความเต็มใจ
ใบหน้าขาวใสดูอ่อนกว่าอายุจริงอยู่มากโขนั้น เลือกแต่งแต้ม เพิ่มสีสันให้ใบหน้าของตนดูโดดเด่นขึ้น ด้วยเครื่องสำอางเพียงน้อยชิ้น เธอเลือกทาเพียงลิปสติกสีชมพูอ่อนกับบรัชออนปัดแก้มสีพีช แค่นี้ก็ทำให้ใบหน้าจืดชืดเหมือนเต้าหู้ ดูน่ามองขึ้นมาทันตา
ความโชคดีของเธอ หรืออาจเรียกเป็นความภูมิใจที่พ่อแม่ให้เธอมาตั้งแต่เกิดก็ได้ นั่นคือการเกิดมามีผิวที่ขาวอมชมพูเนื้อผิวนั้นละเอียดจนเห็นเส้นเลือดฝอย ยิ่งใบหน้าของเธอนั้นยิ่งแล้วใหญ่ มันเนียนใสยิ่งกว่าก้นเด็กทารกเสียอีก ทั้งชีวิตตั้งแต่จำความได้จวบจนกระทั่งเข้าสู่วัยสาวเต็มตัว เธอแทบไม่ต้องเปลืองเงิน ซื้อครีมบำรุงเพื่อมาประทินผิวเหมือนกับบรรดาสาวๆโดยๆทั่วไป
มุขธิดาระบายยิ้มสดใสนำทางไปให้ลูกค้าวัยละอ่อน พอถึงโต๊ะดังกล่าว ร่างระหงโน้มคำนับลงต่ำ ด้วยกิริยานอบน้อม พร้อมกับเตรียมอุปกรณ์จดรายการอาหารถือไว้ในมือ ปากอิ่มเอื้อนเอ่ยถามเสียงใสไม่ต่างจากใบหน้าตัวเองสักนิด
“จะรับออเดอร์อะไรดีคะ”
เธอถามเสียงนุ่มนวลแต่หากทว่ามือที่กำลังเตรียมจดรายการอยู่นั้น มีอันต้องชะงักไปเล็กน้อย เพราะแทนที่ลูกค้าจะสั่งอาหารตามปรกติ เขากลับเอ่ยปากชวนเธอคุยเรื่องส่วนตัวอย่างคนนิสัยเจ้าชู้ที่เธอมักเจอะเจออยู่บ่อยครั้ง มุขธิดาทำเพียงส่งยิ้มอ่อนบางเพื่อรักษามารยาทและไม่ทำให้ลูกค้าเกิดความไม่พอใจถ้าหากเธอจะแสดงสีหน้าไม่ชอบใจตามความรู้สึกอันแท้จริง
“เป็นพนักงานใหม่หรือครับ” หนุ่มนักศึกษานั่งริมสุดเป็นผู้ส่งเสียงทักทายเธอก่อน ใบหน้าขาวตี๋กระเดียดไปทางหนุ่มเกาหลีที่สาวๆส่วนใหญ่ตามกรี๊ดกร๊าดยักยิ้มละไมเสริมคำพูดของตนเองอย่างน่ารัก
“ค่ะ...จะรับอะไรดีคะ” พอตอบเสร็จเธอจึงทำหน้าที่ของตัวเองต่อ ไม่อยากสนทนาอะไรให้มากความ
“ถึงว่าสิ มานั่งกินร้านนี้ก็บ่อย ถึงไม่เคยเห็นหน้าสวยๆของน้องเลยสักที”
มือที่กำลังจะจดรายการอาหารมีอันต้องหยุดชะงักอีกครั้ง มุขธิดาเงยหน้าขึ้นจากอุปกรณ์ในมือ ระบายยิ้มมุมปากเล็กน้อยให้กับเด็กหนุ่มที่เอ่ยปากชมเธอ แถมเด็กหนุ่มคนนี้ยังตาดี คิดว่าเธออายุอ่อนกว่าเขาเสียอีกด้วย ทั้งที่ความจริงอายุของเธอคงเป็นพี่สาวของเด็กหนุ่มโต๊ะนี้มากกว่าจะเป็นน้องสาว
“ไอ้ปลา กูหิวจนไส้จะขาดอยู่แล้ว มึงจะชวนน้องเขาคุยอีกนานไหมหะ กูจะได้สั่งอาหารกับน้องเขาสักที” เด็กหนุ่มที่นั่งติดกับเธอส่งเสียงประท้วง ใบหน้าเริ่มงอแง
มุขธดาอมยิ้มในบทสนทนาของเพื่อนนักศึกษากลุ่มนี้ ถึงจะฟังดูหยาบคายไปบ้างตามภาษาวัยรุ่น แต่มันบ่งบอกถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาได้เป็นอย่างดีคงจะมีความสนิทแนบแน่นกันมากมิใช่น้อยเลยทีเดียว...
“นั่นสิไอ้ห่านี่ มึงหัดนั่งอย่างคนสงบปากสงบคำแบบพวกกูดูเสียบ้างสิ ไม่ใช่พอเห็นคนสวยหน้าตาดีเข้าหน่อยหางกระดิกหูนี่ก็เริ่มชี้ตลอดเลยนะมึง สอนไม่เคยจำ เดี๋ยวเหอะ กูจะโทรไปฟ้องพี่นนท์พ่อคนที่สองของมึงให้มาด่ามึงเสียให้เข็ด...”
มนต์สกรที่นั่งถัดจากหนุ่มน้อยที่ชื่อปลา เอี้ยวตัวไปขึงตาใส่พร้อมต่อว่าเพื่อนจอมกะล่อน พร้อมชี้นิ้วขู่จะฟ้องไปถึงลูกพี่ลูกน้องจอมโหดของมันอีกด้วย
“หุบปากหมาๆของมึงไปเลยไอ้ม่อน อย่าเอ่ยถึงพี่นนท์ให้เสียบรรยากาศ เดี๋ยวพลอยทำให้กูแดกข้าวเย็นไม่ลงเสียเปล่าๆ มึงก็รู้ กูยังถูกคาดโทษเรื่องวันก่อนนั้นอยู่เลย ขืนไอ้พี่นนท์แม่งรู้ว่ากูยังไม่สำนึกคงได้มาฟาดหัวกูแตกยับเป็นแน่” คนถูกขู่แยกเขี้ยวเก๋จนเห็นซี่ฟันเล็กๆตรงมุมปาก แต่พอนึกขึ้นได้ว่ามีหญิงสาวที่ตนเองหมายตายืนอยู่ด้วย จึงรีบปรับเปลี่ยนท่าที จากไอ้ที่แยกเขี้ยวเหมือนยักษ์อยู่นั้นกลับกลายร่างเป็นกระต่ายน้อยส่งยิ้มหวานหยดไปให้นางในดวงใจ
“กูว่ามันไม่สำนึก” มานัสสะกิดบอกมนต์สกรณ์พร้อมบุ้ยปากไปหา
“อืม! กูก็เห็นด้วยกับมึงไอ้หรั่ง”
“ก็น้องเขาน่ารักนี่มึง กูชมเขามันผิดตรงไหนวะ พวกมึงก็ห่วงแต่จะแดกกันท่าเดียว ปล่อยกูขายขนมจีบน้องเขาหน่อย เผื่อกูจะดวงดี ได้เนื้อคู่กลับออกไปจากร้านนี้สักคน” ประภาวิธ หัวเราะร่วนสวนคำพูดเพื่อนกลับทันควัน ไม่สนใจเพื่อนทั้งสามจะหิวโหย ใบหน้าเขียวเข้มใส่ตนมากขนาดไหน ก็คนมันชอบอยากจะสานสัมพันธ์ มันผิดตรงไหนวะ
“กูอยากจะถีบแม่งให้สักที เนื้อคู่บ้านป๋ามันนะสิ เดือนนึงกูเห็นมันเล่นมีเป็นสิบคน ไม่แคล้วพ่อคนที่สองมันต้องมาช่วยเคลียร์ให้อีก...”
มานัสส่ายหน้านึกระอาใจกับพฤติกรรมตกหลุมรักสาวไม่เลือกหน้าของเพื่อนสนิทตนเอง มันรูปหล่อบ้านรวยมหาศาล จึงชอบทำตัวหว่านเสน่ห์ใส่พวกสาวๆเขาไปทั่ว แต่คนอย่างไอ้ประภาวิธมันไม่เคยคิดจริงจังกับสาวคนไหนหรอก ฟันแล้วก็ทิ้ง ทิ้งแล้วก็หาฟันใหม่ไปเรื่อยๆ มีเงินมีชื่อเสียงของวงตระกูลเป็นตัวล่อซะอย่าง สาวคนไหนบ้างเห็นนามสกุลมันแล้วจะไม่ยอมถวายให้หมดทั้งตัว จะว่าไปแล้วจะโทษไอ้ปลาฝ่ายเดียวมันก็ไม่ถูกต้องนัก เพราะสาวๆบางคนนั้นก็ใช่ย่อยเสียเมื่อไหร่ ตาโตเนื้อเต้นระยับรีบกระโจนเข้าใส่ไอ้ปลาเพียงแค่ได้เห็นนามสกุลของมันโดยไม่คิดจะสนใจมองส่วนอื่นเป็นองค์ประกอบเลยด้วยซ้ำ
นี่เมื่อเดือนก่อน เรื่องที่มันไปก่อคดีไว้ ก็เพิ่งจะสงบลงได้ไม่นาน วันนี้มันยังมีหน้าจะสร้างวีรกรรมบันลือโลกให้พี่นนท์พ่อคนที่สองของมันคอยตามเช็ดตามเก็บอีกแล้วหรือไง มองหน้ามันทีไรก็ไม่ต่างจากมองหน้าตัวปัญหาของครอบครัวเลยให้ตาย
“กูจะฟ้องพี่นนท์” ภาวินที่นิ่งเงียบที่สุดในกลุ่มพูดเสริมมานัสอีกคนอย่างอดไม่ได้ นึกเอือมกับนิสัยเสียของไอ้เพื่อนรูปหล่อพ่อรวยคนนี้เหลือเกิน คดีเก่าล่าสุดเขายังปวดหัวกับมันไม่หาย นี่เขาจะต้องปวดหัวไปกับมันอีกแล้วว่างั้น...
ภาวินถอนหายใจพร้อมส่ายหน้าให้กับความสม่ำเสมอในเรื่องทำนองนี้ของประภาวิธ ก็จะเรื่องอะไรเสียอีกล่ะถ้าไม่ใช่เรื่องของผู้หญิง
ดูเหมือนรายล่าสุดนี้มันดันไปให้ความหวังกับเขาไว้เสียเป็นตุเป็นตะ ถึงขั้นจะส่งผู้ใหญ่ไปสู่ขอเลยทีเดียว เพียงเพื่อหวังหลอกจะฟันเขานั่นแหละจะมีอะไรเสียอีก พอได้เขาสมใจอยากของมัน ไอ้เพื่อนตัวดีก็ทำตีมึนเฉดหัวเขาทิ้งไปตามระเบียบ หากทว่าสาวสวยรายนี้กับกินยาฆ่าตัวตาย หวังประชดไอ้ปลาให้ได้สำนึก เลยต้องเดือดร้อนถึงพี่นนท์ ยื่นมือเข้าไปไกล่เกลี่ยชดใช้ค่าเสียหาย ให้เงินค่าทำขวัญครอบครัวสาวเจ้าเพื่อให้เรื่องมันจบ มีเงินมันก็ดีเสียอย่างนี้คิดจะทำอะไรมันก็สะดวกรวดเร็วเสียหมดทุกอย่าง แม้แต่เรื่องเลวระยำยังทำให้กลายเป็นเรื่องถูกต้องได้เลย...
“กูไม่กลัว...” ประภาวิธเบือนหน้าทะเล้นหยักคิ้วให้เพื่อนอย่างไม่แคร์ปาก คนจะทำเสียอย่างต่อให้มีสิบพี่นนท์ตอนนี้เขาก็ไม่คิดกลัว...
“พี่ชื่อปลานะครับ แล้วน้องคนสวยชื่อว่าอะไรเอ่ย พอจะช่วยสงเคราะห์บอกกับพี่ให้หายสงสัยได้มั้ยเอ่ย...” นอกจากจะไม่สนใจไอ้พวกมารพจญทั้งสามตัว ประภาวิธยังคงมุ่งมั่นหยอดขายขนมจีบเด็กเสิร์ฟคนงามต่ออย่างคะนอง
มุขธิดาเริ่มอึดอัดใจแต่ยังฝืนยิ้มอ่อนส่งให้คนถาม...
“เอ่อ...” ครั้นจะบอกชื่อตัวเองไปก็ไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสม เพราะเธอไม่คิดจะบอกชื่อกับลูกค้าคนไหน แต่ใจหนึ่งก็กลัวจะเกิดปัญหาตามมาทีหลังเหมือนเมื่อครั้งก่อนนั้นอีก
“ว่ายังไงครับ...หรือว่าเป็นความลับ บอกใครไม่ได้” ประภาวิธแกล้งตีหน้าเศร้า ขยิบตาเจ้าเล่ห์ หวังเรียกคะแนนสงสาร
โครม! เลยได้ลูกถีบจากมานัสไปหนึ่งที ข้อหาหมั่นไส้จนทำให้เท้ากระดิก...
“ไอ้ห่าม่อน มึงถีบกูทำไม กูแค่อยากรู้จักชื่อน้องเขา มึงอย่าเพิ่งเสือกได้ปะ”
เขาเห็นใบหน้าละอ่อนของสาวเจ้าตั้งแต่หน้าประตูร้าน ก่อนจะเดินเลี่ยงมาด้านใน เพื่อนั่งโต๊ะประจำของกลุ่มตัวเอง ใจนั้นได้แต่แอบคอยลุ้น ขอให้น้องสาวคนนั้นเดินมาจดออเดอร์โต๊ะตัวเองด้วยเถิด และคำภาวนาของเขาดันเป็นผลขึ้นมาซะงั้น เมื่อเธอคนนั้นเดินส่งยิ้มมาทางเขา แล้วทีนี้จะไม่ให้เขาระริกระรี้หน้าระรื่นขึ้นมาได้อย่างไร
แบบนี้สินะ ที่เขาเรียกกันว่า พรหมลิขิตนำพา...
“อย่าถือสาเพื่อนพี่เลยนะครับน้อง พี่เอา...” มานัสก้มศีรษะให้พนักงานเสิร์ฟเพื่อขอโทษขอโพยแทนไอ้เพื่อจอมกะล่อน หลังจากเขาสังเกตเห็นสีหน้าของพนักงานคนนี้ดูอึดอัด ไม่ชอบใจเมื่อถูกถามชื่อ
ก่อนหนุ่มทั้งสามจะทยอยสั่งอาหารที่ตัวเองชอบทาน คนละสองสามอย่างจนพอใจ ขาดแต่พ่อหนุ่มที่ชื่อปลา เอาแต่เท้าค้างบนโต๊ะ นั่งมองหน้าเด็กเสิร์ฟสาวตาหยาดเยิ้ม รอคอยว่าเมื่อไหร่หญิงสาวจะบอกชื่อกับเขาสักที...
“ไอ้ปลา มึงจะแดกอะไร สั่งน้องเขาไปสิวะ ยึกยักท่ามากไปได้ เขาไม่บอกชื่อมึงหรอก ยังเสือกจะเซ้าซี้เขาอยู่ได้” มนต์สกรณ์หรือหรั่งหนุ่มลูกครึ่งไทยญี่ปุ่น ที่นั่งใกล้ประภาวิธสุดกระทุ้งข้อศอกเตือน
“มันคงไม่แดกหรอกวันนี้ มึงปล่อยมันเถอะไอ้หรั่ง กูระอากับมันเหลือเกิน” ภาวินที่นั่งฝั่งเดียวกับมานัสส่ายหัวไปมา
“พี่เอาแค่นี้แหละครับน้อง แต่ขอไวหน่อยก็แล้วกันนะครับ ไม่ไหว วันนี้หิวจนตาลายหมดแล้ว” มานัสเป็นคนสรุปรายการอาหาร โดยไม่ลืมเร่งให้เร็วขึ้น ตอนนี้เขาสามารถกินช้างได้ทั้งตัว เหตุเพราะวันนี้อาจารย์สั่งทำโปรเจคงานชิ้นใหญ่ คะแนนสำคัญอีกภาควิชา กว่าจะสรุปหัวข้อกันได้ เล่นเอาเขาเกือบสลบคากลุ่ม
มุขธิดาทวนชื่ออาหาร ก่อนจะขอตัวเอาออเดอร์ไปส่งยังห้องครัว ประภาวิธมองตามตาละห้อย ไอ้อาการหิ้วจนไส้ขาดก่อนเข้าร้าน มันอันตรธานหายไปจนสิ้น เพียงแค่ได้เห็นอาหารตา มันก็อิ่มไปจนถึงหัวใจ...
“กูจะฟ้องพี่นนท์...” ภาวินขู่เสียงเข้มอีกรอบ ชี้หน้าไอ้เพื่อนจอมกะล่อน หวังให้มันหยุดพฤติกรรมเจ้าชู้ลงบ้าง
“คิดว่ากูกลัวนักเหรอ” คนบอกไม่กลัวเบ้ปาก เมื่อนึกถึงใบหน้าถมึงทึงของไอ้พี่ชายจอมโหดเมื่อครั้งพบกันล่าสุด ตอนนั้นพี่นนท์คาดโทษเขาเอาไว้รุนแรง แต่เขาไม่คิดหวั่นกับคำขู่ของไอ้พี่จอมวางอำนาจ พี่นนท์จะทำอะไรเขาได้ เขาแค่โทรไปแต่งเรื่องบอกพ่อนิดๆหน่อยๆ เดี๋ยวพ่อของเขาก็จัดการพี่นนท์ให้เองนั่นแหละ
“มึงไม่กลัวแต่กูกลัว ถ้าพี่เขาเกิดมาถามกูเกี่ยวกับเรื่องของมึงอีก กูก็จะตอบตามความจริงกับพี่เขาทุกอย่าง มึงอย่ามาด่ากูก็แล้วกันนะไอ้ปลา” มนต์สกรณ์สารภาพเสียงสั่น จำภาพความโหดร้ายตอนเห็นบอดีการ์ดพี่นนท์ จัดการกับพวกนักเลงหัวไม้ได้ไม่เคยลืม เสียงร้องโหยหวน กับกองเลือด มันยังตามหลอกหลอนเขาอยู่ทุกวันนี้เลย
“เออ...กูเข้าใจพวกมึงหลอกน่า ไอ้พวกปอดแหกตาขาว แต่มึงก็รู้นี่หว่า ถ้ากูอยากได้อะไร กูก็ต้องได้ พวกมึงคอยดูนะ รายนี้กูให้เวลาไม่เกินสองวัน กูต้องได้ยินเสียงร้องครางจากเจ้าหล่อนให้ได้” ประภาวิธส่งสายตามุ่งมั่นตามแผ่นหลังบอบบางไปตลอดทางที่เจ้าตัวเดินกลับเข้าไปหลังร้าน คิดมุ่งมั่นเอาไว้ในใจดิบดี คิดวางแผนไว้ในหัวเพื่อรอเวลา เขาจะต้องนอนกับผู้หญิงหน้าใสราวก้นเด็กคนนี้ให้ได้
ร้อยทั้งร้อยถ้าได้ยินเพียงนามสกุลของเขาขึ้นมาเท่านั้นแหละ เป็นต้องเปลี่ยนท่าทีเล่นตัว รีบคลานเข่าเข้ามาสยบแทบเท้าเขาทุกราย ยิ่งพวกมีอาชีพต่ำต้อยเป็นแค่เด็กเสิร์ฟจนๆแบบเจ้าหล่อนคนนี้น่ะเหรอ
โธ่!คงไม่พ้นคืนนี้ด้วยซ้ำ เจ้าหล่อนต้องยอมนอนแบบนเตียงนุ่มๆปนเปรอความสุขให้กับเขาจนตัวสั่นระริก ประภาวิธยิ้มย่องในใจ เมื่อเขานึกถึงเนื้อนุ่มลิ้น ขาวอวบอิ่มไปทั้งตัวของหญิงสาว...
“ไอ้เลว!”
สามเสียงห้าวประสานด่าขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย แต่เพราะคบกันมานาน รู้จักนิสัยใจคอของกันและกันดีเป็นอย่างดี ถึงประภาวิธจะเลวร้ายในเรื่องนิสัยเจ้าชู้ เป็นตัวอันตรายสำหรับหญิงสาว แต่เรื่องน้ำใจระหว่างเพื่อน ไอ้นี่มันทุ่มให้เกินร้อยแบบสุดตัวเลยก็ว่าได้...
“กลับแล้วเหรอจ๊ะมุข ไปหาข้าวต้มรอบดึกกินกับพวกพี่ก่อนไหม” พลอยเอ่ยปากชวน เมื่อมุขธิดาถอดชุดฟอร์มมาฝากเธอคืนให้ชมพู่
“ไม่ดีกว่าจ้ะพี่ วันนี้มุขมีกับข้าวแล้ว พอดีลุงเซฟแกใจดี ทำไอ้นี่ให้มุขเอากลับไปทานที่บ้าน” มันเป็นอาหารสวัสดิการจากทางร้านที่พนักงานทุกคนจะได้สิทธิ์กินกันคนละมื้อ วันนี้ยุ่งวุ่นวายมากมุขธิดาเลยขอเสียสละไม่นั่งทานที่ร้านแต่ขอเอากลับไปทานที่บ้าน ของอร่อยรสชาติจากเซฟมือหนึ่งระดับโลก เธออยากให้ป้าละมัยได้ลองชิมดูบ้าง
“เอาอย่างนั้นเหรอ” พลอยเลิกคิ้วถาม
“จ้ะพี่...นั้นมุขขอตัวกลับบ้านก่อนนะคะ เอาไว้เจอกันงานหน้า...” มุขธิดากระชับกระเป๋าสะพาย ยกมือขึ้นโบกลาเพื่อนด้วยกันพร้อมกับยกมือไหว้ล่ำลาพวกพี่ๆที่อายุเยอะกว่าตัวเอง ต่างคนหันมาส่งยิ้มรับไหว้ด้วยไมตรีอันดี
“กลับบ้านดีๆนะมุข ดูซ้ายดูขวาก่อนจะข้ามถนนด้วยล่ะ ตรงนั้นมันเป็นทางเลี้ยว มักเกิดอุบัติเหตุอยู่บ่อยๆ พี่เป็นห่วง ยังไม่อยากไปเยี่ยมใครที่โรงพยาบาล”
ผู้จัดการหนุ่มใหญ่จิตใจดีตะโกนเตือนลูกน้องชั่วคราวตามหลัง ด้วยเพราะอดเป็นห่วงไม่ได้ ตรงจุดนั้นไฟมันค่อนข้างมืดแถมรถยังขับกันรวดเร็วปานจรวด เขาเองโชคดีที่มีรถขับไม่ต้องไปเดินข้ามเสี่ยงเหมือนกับลูกน้องคนอื่น จะห่วงก็แต่ลูกน้องสาวๆเท่านั้น ที่ต้องข้ามถนนเส้นนั้นกันทุกค่ำคืน
มุขธิดายกถุงกับข้าวขึ้นมองด้วยสายตาแวววาว อาหารดีๆรสชาติอร่อยระดับห้าดาวแบบนี้ใช่ว่าคนฐานะอย่างเธอจะยอมจ่ายเงินเพื่อหาซื้อกินกันง่ายๆเสียเมื่อไหร่ วันนี้ลุงเซฟใจดีเก็บเอาอาหารในส่วนของเธอไว้ให้ แถมยังอุ่นร้อนให้เธอก่อนกลับอีกครั้ง
เธอเคยกินอาหารพวกนี้มาหลายมื้อ จากการมารับทำงานพิเศษนั่นแหละ ความอร่อยนั้นต้องยอมยกนิ้วโป้งให้กันเลยทีเดียว ไม่เช่นนั้นร้านอาหารกึ่งผับแห่งนี้จะมีลูกค้าตบเท้าเข้ามาใช่บริการแน่นขนัดทุกวันได้อย่างไรถ้าหากรสชาติของอาหารไม่อร่อยสมดั่งคำร่ำลือจริง...
หญิงสาวเดินแกว่งถุงแกงเดินไปตามถนน วันนี้ทางร้านได้ติบไม่ใช่น้อย พอแบ่งสันกันเสร็จเห็นจำนวนเงินที่พี่สรเพชรส่งให้ทำเอาเธอหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
“อย่างน้อยก็พอจ่ายค่าดอกของเสี่ยชัยได้หลายวันละนะ” หญิงสาวตบกระเป๋ากางเกงพร้อมรอยยิ้มกริ่ม แสงไฟนีออนจากเสาไฟพอทำให้ทางเดินจากตัวร้านไปยังริมถนนนั้นไม่มืดมากนัก เธอมองซ้ายมองขวาด้วยความระมัดระวังตามคำเตือนของผู้จัดการร้าน พอเห็นถนนโล่งจึงรีบเดินข้าม ครั้นพอเดินข้ามได้เพียงครึ่งทางถนน สิ่งที่คิดว่าปลอดภัยดีแล้วนั้น กลับไม่เป็นอย่างที่คิด เมื่อดันเกิดความซวยเข้ามาเยี่ยมเยือนได้โดยไม่ได้ตั้งใจ...
ว้าย!
เสียงเบรกล้อรถดังลั่นไปทั่วบริเวณท้องถนน จนได้กลิ่นไหม้ของยางก็ว่าได้ ดีที่ไม่มีรถคันอื่นวิ่งตามมา พอรถเบรกกะทันหัน ทำให้ตัวรถลื่นไถลชนเข้ากับฟุตบาท เกิดรอยถลอกเป็นทางยาว
ร่างน้อยนั่งลงแหมะลงกับพื้นปูนอย่างหมดสภาพ ถุงแกงในมือลอยละลิ่วขึ้นฟ้าก่อนจะร่วงหล่นสู่พื้นปูนเสียงดังตุบ พอๆกับสติของมุขธิดา มันกระเจิดกระเจิงหายไปไหนแล้วไม่รู้ ขาทั้งสองข้างของเธอยังสั่นไหวเป็นเหตุให้อ่อนยวบนั่งหมดเรี่ยวแรงกับพื้นถนนอย่างที่เห็น หัวใจเกือบหยุดเต้น มุขธิดายกมือขึ้นปิดใบหน้าไว้ด้วยความกลัวสุดหัวใจ ร่างบอบบางสั่นผวางันงก น้ำตาไหลปริ่มนองอาบสองข้างแก้ม เธอยังไม่ตาย!อีกหรือเนี่ย โอ๊ย!ขุนพระขุนเจ้า...
ทว่าคนที่เปิดประตูรถออกมานั้นกลับมีอารมณ์สวนทาง ใบหน้าหล่อเหลาบูดบึ้ง สองมือกำเข้าหากันจนเห็นเส้นเลือดปูดบวม
“นี่ยายผู้หญิงบ้า!” เสียงดังยิ่งกว่าฟ้าผ่าตวาดลั่น ร่างน้อยมีอันต้องสะท้านไหว สะดุ้งตกใจเมื่อได้ยินเสียงกัปนาทฟาดเปรี้ยงลงมาข้างกายของเธอ
“เดินประสาห่าเหวอะไรแบบนี้วะ ไม่เห็นรถขับมาหรือไง หรือว่าอยากจะฆ่าตัวตายเพื่อเรียกเงินจากฉัน แม่คนสิ้นคิดจอมเจ้าเล่ห์”
คำด่ายาวเหยียดพ่นหลุดออกจากปากชายหนุ่มเจ้าของรถสปอร์ต Lamborghini Gallardo ที่กระชากประตูรถสุดแรงเกิดลงมายืนอย่างหัวเสียไม่ไกลจากรถของตนเอง เขากระแทกฝ่ามือใหญ่ทุบลงบนฝารถเสียงดังอักตามแรงอารมณ์เดือดดาลเพื่อต้องการระบายอารมณ์โกรธ พอเห็นตัวต้นเหตุนั่งคุดคู่อยู่กลางถนน เขาจึงไม่รั้งรอ รีบเดินปรี่ตามอารมณ์ระอุตรงไปยังเงาตะคุ่มที่เจ้าตัวเอาแต่นั่งกอดตัวเองร้องไห้กระซิกอยู่ริมถนน สายตาคมกริบมองร่างนั้นไม่ต่างจากขยะก้อนกลมสักก้อนที่ไม่เคยสร้างสรรค์จรรณโลงโลกให้สวยงาม มีแต่คอยทำลายชั้นบรรยากาศให้เหม็นเน่าคละคลุ้งเสียมากกว่า
“ฉันถามไม่ได้ยินหรือไงวะ อย่ามาดัดจริตทำสำออยบีบน้ำตาเป็นเผาเตา ตอนจะข้ามข้ามถนนทำไมไม่เสือกมองให้มันดีเสียก่อน ทะเล่อทะล่าข้ามมาได้ไม่ดูตาม้าตาเรือ แล้วสุดท้ายเป็นไงล่ะ คนที่ซวยก็คือฉันนี่ไง ยัยผู้หญิงบ้า...” คนหัวเสียด่าไม่ยั้งปากยั้งอารมณ์คุกรุ่น กลับยิ่งหัวเสียหนักขึ้นไปกว่าเดิม เมื่อปลายรองเท้าหนังยี่ห้อดังสัมผัสเข้ากับอะไรเหนียวเหนอะหนะสักอย่าง พอก้มลงไปมองกลิ่นแกงเผ็ดสีแดงสดนั้นเลอะเปื้อนขึ้นมาจนถึงหัวรองเท้าเขาเต็มไปหมด อานนท์หลับตาเบ้หน้า รู้สึกขยะแขยงสิ่งที่ตัวเองเหยียบโดยไม่รู้ตัว
“โว้ย!อะไรนักหนาวะเนี่ย” เขารีบสะบัดรองเท้ากับพื้นปูน ป้ายสิ่งน่าขยะแขยงนั้นออกไปโดยไว
“ ใครมันปัญญาอ่อนเอาถุงแกงมาทิ้งไว้ตรงนี้กันวะ นี่มันถนนสำหรับรถวิ่ง มันใช่ถังขยะเสียที่ไหน ไอ้แกงนี่ก็เหม็นบรรลัย” พอก้มสำรวจปลายรองเท้าตัวเอง ใบหน้าหล่อนั้นเหยเกย พอสีแดงของแกงเริ่มจางหาย ไม่โผล่ให้เขาเห็น สายตาพิโรธดังไฟโลกันตร์หันกลับไปเล่นงานขยะก้อนกลม ที่เอาแต่นั่งร้องไห้ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้าทันที...
“ลุกขึ้นตามฉันมาเดี๋ยวนี่เลยแม่ตัวดี เรามีเรื่องต้องคุยกันยาว”
*เข้าอ่านเนื้อหาต่อได้ที่* - https://www.readawrite.com/a/620d348d4551ea2870e4cb602881a1d8