โลกร้อนทำลายสถิติสูงสุด น้ำแข็งละลาย ภัยพิบัติที่ใครก็ไม่กล้าพูดถึง
เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โลกร้อนทำลายสถิติในประวัติศาสตร์ในหลายประเทศในยุโรป แสดงว่า เรื่องโลกร้อนที่นักวิทยาศาสตร์ทำนายมาหลายปี ไม่ใช่เรื่องมโน
หลายเมืองในฝรั่งเศส สเปน กรีซ ตุรกี และอิตาลี มีอุณหภูมิสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส รวมไปถึงหลายเมืองในอินเดีย จีน แคนาดา และสหรัฐ ก็ล้วนมีอุณหภูมิทำลายสถิติกันหมด ในเดือนที่ผ่านมา
ภาพน้ำแข็งละลายลงอย่างรวดเร็ว จะสร้างความน่ากลัวต่อการขาดแคลนน้ำจืดในอนาคต นอกจากนั้น น้ำที่ขาดแคลน กำลังทำให้หลายประเทศเตรียมพร้อมรับการขาดแคลนน้ำจืด การขาดแคลนอาหาร ซึ่งจะซ้ำเติมภาวะเงินเฟ้อให้หนักหน่วงเข้าไปอีก ฟิลิปปินส์ได้ประกาศให้ประชาชนเตรียมรองน้ำจืดไว้ใช้แล้ว
ใครยังบ่นว่าตอนนี้ไม่มีจะกิน หลังจากนี้ เชื่อว่า จะลำบากกว่านี้หลายเท่า เพราะราคาสินค้า อาหารการกินจะปรับตัวสูงขึ้นไม่หยุด ปัจจุบัน ราคาไข่ไก่เริ่มพุ่งอีกรอบแล้ว เพราะภาวะโลกร้อน อย่ามัวโทษรัฐบาลกันอยู่ หรือมัวแย่งอำนาจกันอยู่ ความลำบากรออยู่ข้างหน้าแล้ว ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาลก็ช่วยเราไม่ได้แล้ว
จริงๆ การรณรงค์ลดโลกร้อน ไม่มีใครร่วมมือกันอย่างแท้จริงหรอก เพราะมันหมายถึงการลดกิจกรรมทางเศรษฐกิจลง ลดจีดีพีลง ใครจะกล้าทำแบบนั้น ทุกประเทศถือว่า ตัวเองอาจไม่ใช่เป็นผู้รับผลกระทบจากโลกร้อน แต่เมื่อทำแบบนี้ ก็แน่นอนแล้วว่า มนุษย์เราไม่สามารถหยุดโลกร้อนได้อีกแล้ว หรือพูดง่ายๆ "มันสายเกินไปแล้ว"
ประเทศไทยเป็นประทศที่เขาคาดการณ์กันว่าจะได้รับผลกระทบรุนแรงจากภาวะโลกร้อน เนื่องจากจีดีพี พึ่งพิงภาคการเกษตรจำนวนมาก ผลจากโลกร้อนไม่เพียงทำลายพืชผลการเกษตร แต่ยิ่งจะทำให้มีการระบาดของแมลงศัตรูพืชมากขึ้นไปอีก และส่งผลให้ผลผลิตการเกษตรลดน้อยลงไปอีก
แม้จะบอกว่า ทุกอย่างสายไปแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรที่แย่กว่านี้อีกแล้ว หากไม่ลุกขึ้นมาลดโลกร้อนอย่างจริงจัง เช่น การลดการใช้รถยนต์เบนซิน การลดการปล่อยความร้อนจากโรงงานอุตสาหกรรม การลดการเผาป่า ก็ตัวใครตัวมัน ชีวิตใครชีวิตมัน เอาตัวเองรอดก็พอ คงไม่คิดช่วยเหลือใครอีกแล้ว