ร็อคกี้ สุรบดินทร์ สมบัติเจริญ ออกมาเปิดใจเมื่อเพื่อนรักโกงจนหมดตัว
ร็อคกี้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณสุรพล สมบัติเจริญ ได้ถูกเพื่อนรักที่คบกันมานานกว่า 30 ปี
โกงเงินจนสิ้นเนื้อประดาตัว จำนวนเงินนั้นก็ประมาณ 30 ล้านกันเลยทีเดียว ซึ่งเงินจำนวนนี้ก็เป็นเงินก้อนสุดท้าย
ในชีวิตของร็อคกี้ ร็อคกี้ได้ให้สัมภาษณ์ว่า "เมื่อช่วงที่มีข่าวออกมาว่า แอมป์ พีรวัศ ซึ่งเป็นเพื่อนที่ผมสนิทมากตั้งแต่งเด็ก
โกงรถ ผมก็ตกใจมาก ไม่คิดว่าจะเป็นคนเดียวกับที่โกงผม เขาเป็นเพื่อนผมมานาน และจะมีช่วงที่เค้ามีปัญหา
เรื่องธุรกิจของเขาเหมือนกัน เราก็ช่วยซัพพอร์ตเค้าด้วยการเอาเงินให้ไปหมุนก่อน ยืมไปแล้ว ช่วงแรก ๆ เค้าก็เอามาคืนนะ
แต่พอเขาเริ่มมีปัญหามากขึ้น เราก็ซัพพอร์ตเขาเพิ่มขึ้น แต่ก็ได้บอกเขาไปว่าต้องเอากลับมาคืนบ้างนะ
เพราะตัวผมเองต้องเก็บไว้เป็นค่าคลอดลูก และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของครอบครัว
ต่อมาไม่นาน ก็มีคนโทรมาหาผม เป็นคนที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน แล้วก็มาถามหาแอมป์ ว่าเจอไหม เขาอยู่ที่ไหน
เมื่อผมบอกแอมป์ไป เขาก็บอกว่าเค้าจะจัดการเรื่องนี้เอง ผมก็เลยบอกไปว่า อย่าให้มปัญหา เดี๋ยวจะเสียเครดิต
ซึ่งผมเริ่มจะรู้ตัวว่าตัวเองโดนโกงก็ตอนที่เขาเริ่มหายไปไม่มาให้เจอเลย ช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา
แอมป์เริ่มไม่มีการจ่ายเงินคืนละ แต่ผมก็คิดว่าเขากำลังพยายามหาเงินอยู่ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าแอมป์โกงเงิน
มาถึง 300 ล้านบาท พอได้รู้ข่าวเรื่องนี้ ผมเหมือนจะเป็นบ้า มีคนโทรหาผมเยอะมาก โทรมาก็อยากรับนะครับ
เผื่อมีงานมีธุระ แต่อีกใจก็ไม่กล้ารับ เพราะกลัวจะไม่ใช่เรื่องของเรา เป็นห่วงเพื่อนก็เป็นห่วง
สงสัยว่าเพื่อนเราไปทำอะไรมาจริงไหม มีคนไปเช็คว่าแอมป์กับแฟน ออกนอกประเทศไปแล้ว แม่เขาก็อยู่ที่ต่างประเทศ
บางกระแสบอกว่าผมรู้เห็นเป็นใจกับแอมป์ จริง ๆ แล้ว ผมเป็นคนท้าย ๆ เลยที่รู้เรื่องนี้ เขาใช้คอนเนคชั่นของเรา
ไปยืมเงินคนอื่น มีน้องคนนึงมาหาผมแล้วร้องไห้ บอกว่าโดนแอมป์โกง และน้องเขาขอแจ้งความ
ผมเลยบอกไปว่า ถ้าแอมป์ผิดจริงก็แจ้งได้เลย แต่ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า หลายคนถูกแอมยืมเงินไปคนละ 10-20 ล้าน
บางคนครอบครัวเขามีปัญหา รวมไปถึงตัวเราเองด้วย
แอมป์ทำให้ผมลำบากมาก ถึงขั้น กินก๋วยเตี๋ยวหมดชามแรก อยากจะกินชามที่ 2 แต่ต้องมานั่งคิดว่า เก็บเงินไว้ดีกว่า
เพราะมื้อต่อ ๆ ไปจะทำยังไง ได้แต่คิดในใจว่า นี่เรามาถึงจุดนี้แล้วหรอ คนที่ทำกับเราคือ เพื่อนเราเองแท้ ๆ
ผมเสียใจมากที่โดนเพื่อรักหลอก แล้วมันกระทบต่อนามสกุลของผม ผมเคยคิดว่าจะลาโลก คิดอยู่เสมอว่า
มีหรือไม่มีเราอันไหนมันดีกว่า อย่างที่บอก เราเคยดูแลคนอื่น แต่ตอนนี้กลายมาเป็นภาระของคนอื่น
ถ้าเรายังอยู่ก็ต้องสิ้นเปลือง ต้องให้คนอื่นมาดูแล แต่ลูกทำให้ผมต้องอยู่ต่อ
หลายคนถามว่าแล้วครอบครัวสมบัติเจริญไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยบ้างหรอ ปีนี้ผมก็อายุ 40 แล้ว ไม่อยากให้มีเรื่องหนักใจ
ทางครอบครัว ถ้าข่าวไม่ออก ผมก็จะไม่บอกคนในครอบครัวเลย
"

















