ตรอกรักปั๋นใจ๋ ตอนที่ 9
ตอนที่ 9
ตอนบ่ายอันร้อนระอุของวันที่ 14 เมษายน พุทธศักราช 2454 วันนี้เป็นวันเนาของประเพณีตรุษสงกรานต์ อุณหภูมิที่ร้อนจัดของฤดูร้อนทำให้ผู้คนเมืองระแหงต่างพากันมายังท่าน้ำวัดน้ำหัก และท่าน้ำอื่นๆ เพื่อลงเล่นน้ำสาดใส่กันสนุกสนานอย่างสบายอกสบายใจ เพราะในช่วงหน้าแล้งแบบนี้ระดับน้ำในแม่น้ำปิงจะลดลง จนแห้งขอดกลายเป็นหาดทรายสีขาวนวลที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาหนุ่มสาวมีโอกาสได้พบปะและหยอกล้อเล่นน้ำสาดใส่กันอย่างสนุกสนาน และพากันขนทรายเข้าวัดตามความเชื่อและความศรัทธาของประเพณีตรุษสงกรานต์
“อ้าว สวัสดีจ้ะเพื่อนรัก มาขนทรายเข้าวัดกับเค้าด้วยเหรอยะ” นกยูงทักทายอย่างลอยหน้าลอยตา
“ย่ะ” ซ่อนกลิ่นตอบเสียงสูงอย่างมะนาวไม่มีน้ำ
“ตายล่ะดูสิ ใจบุญสุนทานกันจังเลย เกิดชาติหน้าชาติไหนขอให้ได้ผัวรวยๆ กับเค้ามั้งนะพวกแก
รีบๆ ทำบุญกันไว้เยอะๆ ก็แล้วกันนะเพื่อนรัก”
“นังนกยูง วันนี้เป็นวันเนา เค้าไม่ให้ด่าหรือทะเลาะกัน แต่แกกลับปากดีแกว่งเท้าหาส้นตีนอะไรวะ”
“อ้าว อีนี่ ฉันถามพวกแกดีๆ พูดกับพวกแกดีๆ ยังจะมาหาเรื่องกับฉันอีก” นกยูงตอบทันควันพร้อมเสียงดัง
“แกอย่ามาตอแหล คำพูดคำจาของแก มันไม่ใช่คำถามที่ตั้งใจจะถามด้วยความปรารถนาดี และอีกอย่าง
การจะมีผัวรวยหรือผัวจน มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการทำบุญเลยสักนิด เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันขึ้นอยู่
กับคุณงามความดีของคนมากกว่า บางคนทำบุญแค่ปากว่า แต่ใจยังคิดคดขาดจิตอันบริสุทธิ์
หรือบางคนกายทรามใจงาม แต่ชอบทำแต่สิ่งดีๆ ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ผิดกับคนบางคนกายงาม
ใจทราม ไม่รู้จักทำแต่สิ่งดีๆ ชอบทำให้คนอื่นเดือดร้อนอยู่ร่ำไป ฉันว่าไม่ต้องทำบุญทำทานให้มันเปลืองข้าวเปลืองน้ำหรอก เพราะทำไปก็เท่านั้น เกรงว่ายิ่งทำก็ยิ่งจะทำให้ศาสนาเสื่อมถอยลงไปเรื่อยๆ”
“แกว่าใครนังซ่อนกลิ่น”
“ใครจะรับก็รับไปสิ รู้อยู่แก่ใจ”
“...ทอง ปากดีจริงนะมึง” นกยูงตวาดเสียงดัง พร้อมขยับกายจะเข้าไปหาซ่อนกลิ่น ที่ยืนตั้งท่ารอรับอยู่เช่นกัน
“ถ้าแกแน่จริงก็รีบเข้ามา วันนั้นถ้ายังไม่อิ่มรสตบของฉันละก็อย่ารอช้า แกรีบเข้ามาเลยนังนกยูง”
ซ่อนกลิ่นท้าตีท้าตบอย่างไม่สนใจสายตาของผู้คนที่ต่างมุงดู และคอยเชียร์เสียงดัง
“เอาล่ะ….พอ….พอได้แล้ว หยุดทะเลาะกันเสียทีทั้งสองคน จะพูดจะคุยอะไรกันดีๆ บ้างได้มั้ย
วันนี้เป็นวันเนา เค้าห้ามทะเลาะเบาะแว้งกัน แต่พวกแกสองคนยังไม่เชื่อไม่ฟังกันอีก” กิมลั้งพูด
ทำเสียงดุเพื่อตัดความรำคาญ จึงเป็นผลให้ทั้งนกยูงและซ่อนกลิ่นสงบปากสงบคำลงได้ แล้วคนทั้งสอง
ต่างส่งค้อนให้กันวงใหญ่ พร้อมสะบัดหน้าหนีไปคนละทางด้วยอารมณ์โกรธ กิมลั้งถอนหายใจ
เฮือกใหญ่ เพราะปลงสังเวชต่อพฤติกรรมของเพื่อนรักทั้งสอง และเมื่อเหตุการณ์ศึกสองนางสงบ
เงียบลงไปแล้ว เธอจึงหันไปส่งยิ้มละไมให้กับสายบัวพลางว่า
73
“เป็นยังไงบ้างล่ะสายบัว เธอสบายดีนะ” กิมลั้งทักทายเพื่อนรัก ใบหน้ายิ้มแย้มบ่งบอกถึงความ
มีมิตรไมตรีที่ดีต่อกัน
“สบายดีจ้ะ แล้วกิมลั้งล่ะสบายดีนะจ๊ะ” สายบัวตอบรับเสียงอ่อนโยน
“สบายดีจ้ะ ค้าขายเป็นยังไงบ้างล่ะ” กิมลั้งถามต่อด้วยความเป็นห่วงเพื่อนรัก
“ก็เรื่อยๆ จ้ะ”
“ซ่อนกลิ่นล่ะ สบายดีนะจ๊ะ” กิมลั้งถามซ่อนกลิ่นบ้าง เพื่อต้องการให้อารมณ์โกรธลดอุณหภูมิลง
แต่กลับเพิ่มอุณหภูมิอารมณ์โกรธให้กับนกยูงมากยิ่งขึ้น
“นี่ กิมลั้ง ทำไมถึงต้องไปญาติดีอะไรกับพวกมันด้วย พวกเรากับพวกมันมันคนละชั้นกันนะเธอ”
นกยูงแทรกขึ้นด้วยอารมณ์ที่ยังขุ่นมัวอยู่ สีหน้าแสดงออกอย่างบอกบุญไม่รับเอาเสียเลย
“นกยูงทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ พวกเราเป็นเพื่อนกันทั้งนั้น ไม่เห็นจะต้องแบ่งชนชั้นวรรณะกันเลย”
“เชอะ” นกยูงว่าพลางสะบัดหน้าหนี แล้วหันมาว่าต่อ
“ฉันไม่อยากญาติดีด้วยหรอก เพราะเหม็นสาบคนจน” นกยูงทำสีหน้าเหยียดหยันจนสังเกตได้
“ย่ะ แม่คนรวย” ซ่อนกลิ่นลากเสียงสูง แล้วค้อนให้วงใหญ่อีกครั้ง
“แน่นอน เพราะเร็วๆ นี้ ฉันจะได้เป็นแม่เลี้ยงแล้วยะ” นกยูงพูดลอยหน้าลอยตาจนน่าหมั่นไส้
“เหรอยะแม่เลี้ยง….แต่ฉันว่าแกเป็นแม่เลี้ยงกำมะลอเสียมากกว่า” ซ่อนกลิ่นว่าเหน็บให้บ้างอย่างยิ้มเยาะ
“อีซ่อนกลิ่น” นกยูงถลนตาดุใส่ พร้อมตวาดเสียงดังแหลมปรี๊ด
“โน่น….แกไม่ต้องมากัดฉันหรอก บุรุษผู้เป็นต้นเหตุเดินมาโน้นแล้ว” ซ่อนกลิ่นว่าพลางบุ้ยปาก
ไปหาผู้ที่มาใหม่ พร้อมเพื่อนพ้องเดินตามหลังมาเป็นโขยง
“พี่หมง” นกยูงอุทานเรียกชื่อเสียงดัง หล่อนแสดงกิริยาอาการระริกระรี้ดีใจจนเกินงาม ก่อนจะวิ่งตรงเข้าไปหา แต่นายหมงกลับไม่ได้สนอกสนใจอะไรนกยูงเลยแม้แต่น้อย เขาส่งยิ้มหวานให้กับ
สายบัวที่ยืนถือขันน้ำใส่ทรายพูนจนเต็ม ก่อนว่า
“สาวๆ จะไปกันแล้วรึจ๊ะ….อ้าว น้องสายบัวคอยพี่ด้วยสิ” สายบัวไม่กล้าตอบคำถามของชายคนรัก
เธอทำได้แค่เพียงชำเลืองตามอง แล้วยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากด้วยความอิ่มเอิบใจ เพราะเกรงใจกิมลั้งที่ยืนอยู่ข้างๆ กาย
“จะไปตักทรายก็รีบไปตัดเสียสิพี่หมง เร็วๆ เข้า เอานี่ขันน้ำ” ซ่อนกลิ่นว่าพลางยื่นขันน้ำให้ชายคนรัก
ของเพื่อนรัก แถมส่งค้อนให้วงใหญ่ แต่สายตาของเจ้าหล่อนกลับชำเลืองมองไปยังนายส่วน
ที่ยืนส่งยิ้มหวานให้ ด้วยแววตาเป็นประกายอ่อนโยนรักใคร่ชื่นชม
“พี่ส่วน” ซ่อนกลิ่นอุทานอย่างลืมตัว และเมื่อได้สติจึงแหวใส่ด้วยท่าทางเขินอายพลางบ่นพึมพำออกมาเบาๆ ว่า
74
“คนบ้า มัวแต่ยืนจ้องมองอยู่ได้”
นายส่วนเป็นชายหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกับนายหมง โดยบิดาเป็นคนจีนแต้จิ๋วที่อพยพมาจาก
จังหวัดพิษณุโลก นามว่านายเต็ก แซ่ห่าน และได้แต่งงานกับนางละออ หญิงพื้นเมืองเชื้อสายมอญ
ที่บรรพบุรุษอพยพมาจากอำเภอแม่ระมาด ซึ่งได้อาศัยอยู่แถวๆ บริเวณหน้าวัดมณีบรรพตวรวิหาร
(วัดเขาแก้ว) กับอีกหลายครอบครัวที่อพยพมาจากถิ่นอื่นมากมาย เช่น อำเภอแม่สอด อำเภอแม่ระมาด
จังหวัดลำปาง จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดสุโขทัย และจังหวัดพิษณุโลก ฯลฯ มาอาศัยอยู่รวมกัน
จนเป็นชุมชนใหญ่ จึงเรียกชุมชนนี้ว่า ชุมชนวัดเขาแก้ว โดยครอบครัวของนายส่วนยึดอาชีพ
ต่อเรือโกลนและเรือหางแมงป่อง ซึ่งนายส่วนได้วิชาความรู้เรื่องการต่อเรือโกลนและเรือหางแมงป่องมาจากนายเต็กผู้เป็นบิดา ที่มีความชำนาญในเรื่องการต่อเรือจนหมดสิ้น จึงทำให้มีชื่อเสียงเป็นที่
รู้จักกันไปทั่วภาคเหนือ และเมื่อได้ทำการต่อเรือโกลนและเรือหางแมงป่องเสร็จเรียบร้อยแล้วจะต้องเข็นเรือ (ทู่เรือ) จากบ้านในชุมชนวัดเขาแก้วลงสู่แม่น้ำปิงตรงท่าปากคลองน้อย ซึ่งจะอยู่ใต้
ท่าเรือลงมาในชุมชนตรอกบ้านจีนประมาณ 100 - 150 เมตร เพื่อทำการซื้อขาย เพราะด้วยการเข็นหรือทู่เรือทุกครั้ง จึงทำให้พื้นดินสึกเป็นร่องลึก และยิ่งนานวันร่องก็ลึกและกว้างขึ้นเรื่อยๆ
จนน้ำในหนองน้ำมณีบรรพตที่อยู่สูงกว่าจะไหลผ่านไปตามร่องที่เข็นหรือทู่เรือ ตั้งแต่หน้าโรงเรียน
ตากพิทยาคม โรงเรียนการช่างสตรีเดิม ชุมชนตรอกบ้านจีน แล้วลงสู่แม่น้ำปิง จนผู้คนในชุมชนตรอกบ้านจีนเรียกว่า ปากคลองน้อย ซึ่งต่อมาปากคลองน้อยมีบทบาท และความสำคัญต่อวิถีชีวิตของชาวจีน และชาวบ้านใกล้เคียงอย่างมาก จึงทำเป็นท่าเรือขึ้นเรียกว่า ท่าปากคลองน้อย เพื่อใช้เป็นท่าจอดเรือ แพ รับส่งสินค้าต่างๆ มากมาย รวมทั้งเป็นจุดรวมไม้ซุงที่จะล่องไปยังโรงเลื่อยไม้หรือตลาดค้าไม้ ทั้งที่ตำบลปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ และกรุงเทพมหานคร อีกทั้งยังเป็นแหล่งน้ำ
ที่ให้ผู้คนในชุมชนตรอกบ้านจีน และผู้คนใกล้เคียงได้ใช้น้ำจากแม่น้ำปิง เพื่อใช้ดื่มกินภายในครัวเรือน
อีกด้วย ต่อมานายเต็กได้ปรึกษาหารือกับนายมาและนางทอง ที่มีอาชีพต่อเรือโกลนและเรือหางแมงป่องเหมือนกัน แล้วเห็นพ้องต้องกันว่าควรทำสะพานเชื่อมต่อระหว่างในชุมชนตรอกบ้านจีนให้คร่อมคลองน้อย เพื่อให้ผู้คนใช้เป็นเส้นทางสัญจรไปมา และให้มีความสูงขนาดช้างเดินลอดใต้สะพานได้ เพื่อความสะดวกในการเข็นหรือทู่เรือโกลนและเรือหางแมงป่อง แล้วตั้งชื่อสะพานตามชื่อผู้สร้าง โดยเป็นการให้เกียรติสุภาพสตรีว่า สะพานทอง ทั้งนี้การสร้างสะพานทองจะใช้แรงงานผู้ชายมาสร้าง แล้วจะใช้แรงงานผู้หญิงหุงหาอาหาร และน้ำไว้คอยบริการเหล่าผู้ชายทั้งหลาย
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้นายส่วนได้รู้จักซ่อนกลิ่น และมีโอกาสพบเจอกันบ่อยครั้ง จนแอบนึกชอบ
ต้องตาต้องใจ แอบหมายปองซึ่งกันและกัน ยิ่งนานวันเข้าจึงเกิดเป็นความรักขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัว
นายส่วนอมยิ้มพลางเดินตรงเข้าไปหาซ่อนกลิ่นที่ยืนก้มหน้างุดแก้มแดงระเรื่อแสดงกิริยาขวยเขิน แล้วเขายื่นหน้าเข้าไปใกล้จนเกือบชิดใบหน้ารูปงามของเธอก่อนว่า
75
“น้องซ่อนกลิ่นไม่ไปเป็นเพื่อนพี่รึจ้ะ”
“บ้าจริงพี่ส่วนนี่ ยื่นหน้ามาเกือบจะชนหน้าน้องอยู่แล้วนะ” ซ่อนกลิ่นตำหนิเสียงเบาๆ พลางค้อนให้
“เถอะนะน้องซ่อนกลิ่น ไปเป็นเพื่อนพี่หน่อยนะ….นะ” นายส่วนออดอ้อนหญิงคนรัก
“พี่ส่วนไปกับเพื่อนพี่เถอะ จะไปตักทรายก็รีบไป เอานี่ขันน้ำ” ซ่อนกลิ่นว่าพลางยื่นขันน้ำให้กับเพื่อนชายที่มีใจให้เป็นคนกรณีพิเศษ และขณะที่นายหมงพร้อมด้วยเพื่อนชายทั้งกลุ่มกำลังเดิน
ผละออกไป ได้เกิดมีเสียงร้องแหลมปรี๊ดดังขึ้น
“พี่หมง….พี่หมงจะไปไหน นกยูงไปด้วย” หล่อนว่าพลางวิ่งไปคล้องแขนนายหมง อย่างไม่สนใจสายตาผู้ใด
“ฉันล่ะเหนื่อยใจกับนกยูงจริงๆ สายบัว” กิมลั้งว่าพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ แววตามีประกายกังวลปนเศร้า
“นี่มันคงยังไม่รู้เรื่องที่พี่หมงจะแต่งงานกับกิมลั้งเป็นแน่แท้เชียว ถ้ามันรู้เรื่องเข้าอะไรจะเกิดขึ้นโอ๊ย….ฉันไม่อยากจะนึกถึงมันเลย สงสัยมันคงจะแหกปากโวยวายด่าดังลั่นไปทั่วตรอกบ้านจีนเป็นแน่”
ซ่อนกลิ่นกล่าวด้วยน้ำเสียงรู้สึกเป็นกังวลเช่นเดียวกับกิมลั้ง ทุกคนต่างมองหน้ากันพลางผ่อน
ลมหายใจเหมือนระบายความรู้สึกเป็นกังวลออกมาช้าๆ อย่างแผ่วเบา แล้วกิมลั้งเอ่ยขึ้นด้วย
น้ำเสียงนุ่มนวลว่า
“ฉันไม่สนใจความรู้สึกของนกยูงหรอก แต่ฉันเป็นห่วงความรู้สึกของสายบัวมากกว่า”
กิมลั้งกุมมืออันนุ่มนิ่มของสายบัวเพื่อนรัก แล้วบีบเบาๆ พลางว่า
“สายบัวเพื่อนรัก เธอคงรู้เรื่องเรื่องงานแต่งงานของฉันกับพี่หมงแล้วสินะ แต่ฉันขอบอกเธอเสียเลยตรงนี้ต่อหน้าซ่อนกลิ่นว่า การแต่งงานที่เกิดขึ้นครั้งนี้มีสาเหตุมาจากความประสงค์ของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ฉันกับพี่หมงถูกผู้ใหญ่คลุมถุงชน ซึ่งเป็นประเพณีของคนจีนที่จะต้องสืบทอด
วงศ์ตระกูลแซ่เอาไว้ และฉันขอบอกให้เธอรับรู้ด้วยว่า การแต่งงานครั้งนี้ฉันได้แค่เพียงร่างกายแต่ไม่ได้หัวใจรักของพี่หมงแต่อย่างใด เพราะหัวใจรักของพี่หมงอยู่ที่เธอแต่เพียงผู้เดียว”
คำท้ายของประโยคน้ำเสียงเริ่มสั่นเครือ สายบัวพยักหน้ารับ พร้อมตบหลังมือเบาๆ ด้วยความ
เห็นอกเห็นใจเพื่อนรัก ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า
“กิมลั้งเพื่อนรัก ฉันเข้าใจและยินดีกับเธอด้วยแต่เธอไม่ต้องเป็นห่วงและเป็นกังวลอะไรทั้งนั้น
เพราะเรื่องนี้ฉันกับพี่หมงได้พูดคุยปรับความเข้าใจกันแล้วจ้ะ” กิมลั้งมองหน้ารูปงามของเพื่อนรัก
พลางขบริมฝีปากจนรู้สึกเจ็บ เพื่อซ่อนเสียงสะอื้นไห้แล้วว่า
“ฉันขอบใจเธอมากเลยนะจ๊ะสายบัว ที่เธอเข้าใจฉัน”
“จ้ะ ฉันเข้าใจเพื่อนเสมอ เพราะอย่างไรเสียพวกเราก็เป็นเพื่อนกันอยู่วันยังค่ำ ถึงแม้ว่าในอนาคตจะเป็นยังไงคำว่าเพื่อนสำคัญที่สุด”
76
“โอ๊ย....เอาเถอะ ไม่ต้องมาพูดอะไรกันตอนนี้หรอก เพราะมันเป็นเรื่องของอนาคต แต่ฉันก็ยัง
ดีใจที่เพื่อนรักทั้งสองเข้าใจกันได้” ซ่อนกลิ่นกล่าวชื่นชมความมีน้ำใจของเพื่อนรักทั้งสอง แต่ก็ยังหวั่นใจอยู่เพียงคนเดียวคือนกยูง ก่อนเอ่ยต่อว่า
“ฉันนี่ยังเป็นห่วง และกังวลใจอยู่กับนังนกยูงคนเดียวจริงๆ”
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรือกังวลใจหรอกซ่อนกลิ่น เดี๋ยวเรื่องนี้ฉันจะจัดการเอง” กิมลั้งกล่าวด้วยความมั่นใจ
“โน่น….มาโน้นแล้ว ตายยากจริงๆ” ซ่อนกลิ่นว่าพลางบุ้ยปากไปทางกลุ่มของนายหมงพร้อมเพื่อนชาย โดยมีนกยูงเกาะแขนไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“พี่หมงจ๋า นกยูงร๊อน….ร้อน อยากกินน้ำจังเลยจ้ะ” นกยูงทำเสียงออดอ้อน พลางซบหัวไหล่ชายหนุ่ม
อย่างมีเลศนัยแอบแฝง พร้อมส่งสายตาเย้ยหยันไปยังกลุ่มเพื่อนรักทั้งสาม ที่มองด้วยความสมเพศ
โดยเฉพาะซ่อนกลิ่นที่ค้อนให้วงใหญ่ด้วยความหมั่นไส้
“ประเดี๋ยวพี่ใจไปตักน้ำให้กินดีมั้ยจ๊ะน้องนกยูง” นายใจเพื่อนของนายหมง ที่แอบชอบนกยูงอยู่
กล่าวเสนอตัว แต่กลับถูกนกยูงแหวใส่อย่างไม่ไว้หน้า แถมค้อนเข้าให้ด้วย
“เสือก….ใครใช้แกยะ” ทุกคนต่างมองตากันด้วยความอับอาย จนนายหมงกล่าวตัดบทว่า
“พี่ว่าน้องนกยูงขนทรายเสร็จแล้วก็รีบกลับบ้านเถอะนะ เพราะนี่ใกล้จะค่ำแล้ว เดี๋ยวอาเดือนจะเป็นห่วง”
“ไม่เอา….ไม่เอา….นกยูงจะไปเล่นสาดน้ำกับพี่หมง” นกยูงงอแงทำตัวเป็นเด็กน้อย
“ถ้าพูดแล้วยังไม่เชื่อฟังกัน ต่อไปพี่จะไม่พูดด้วยแล้วนะน้องนกยูง” นายหมงว่าพลางดึงมือของนกยูงออกจากแขนตนเอง แล้วรีบเดินหนีไปจากตรงจุดนั้น
“พี่หมง….พี่หมงใจร้าย ทำร้ายจิตใจนกยูงแบบนี้ไม่ได้นะ นกยูงไม่ยอม….นกยูงไม่ยอม”
ว่าแล้วกรีดร้องเสียงดังลั่นด้วยความไม่พอใจพลางกระทืบเท้ากับพื้นทรายก่อนกระฟัดกระเฟียด
เดินหนีจากวงสนทนาไป โดยมีนายใจวิ่งตามหลังไปติดๆ เพื่อเอาใจหญิงที่หมายตาต้องใจไว้
แล้วร้องถามไปพลางวิ่งตามไปพลางว่า
“น้องนกยูงจะไปไหน”
“เรื่องของกู มึงไม่ต้องวิ่งตามมาเลยนะไอ้ใจไป….ไปไหนก็ไป”
เมื่อเหตุการณ์วุ่นวายได้สงบลงอีกครั้ง นายหมงหันไปหาทุกคนที่ต่างยืนจ้องมองมาเป็นสายตาเดียวกัน
เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วว่า
“เมื่อไหร่จะเข้าใจเสียทีก็ไม่รู้ เหนื่อยใจกับน้องนกยูงจริงๆ”
“ช่วยอะไรไม่ได้เลยจริงๆ ว่ะเพื่อน ดันเสือกเกิดมารูปหล่อ แถมรวยล้นฟ้าอีกต่างหาก เอ็งคิดรึว่าน้องนกยูงจะยอมปล่อยเอ็งไปได้ง่ายๆ”
77
นายส่วนแกล้งว่าหยิกแกมหยอกเพื่อนรัก นายหมงส่ายหน้าอย่างอ่อนใจกับชะตาชีวิตของตนเอง
ที่ต้องถูกผู้หญิงตามตื้อจนไร้ความเป็นอิสระ และเมื่อได้คิดทบทวนในใจอย่างรอบคอบและแน่วแน่แล้วว่า
เห็นทีจะต้องไปพูดคุยให้รู้เรื่องและเข้าใจกันเสียที อย่างน้อยเป็นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ดีกว่าปล่อย
ให้ลุกลามไปเรื่อยๆ จนแก้ไขอะไรไม่ได้ เขาสบสายตากับทุกคนในวงสนทนา แล้วตัดสินใจเอ่ยขึ้นว่า
“เห็นทีจะต้องไปคุยกันให้รู้เรื่องและเข้าใจแล้วล่ะ ถ้าไม่รีบจัดการ และขืนมัวปล่อยให้มันคาราคาซัง
อยู่แบบนี้ ต่อไปคงอยู่กันอย่างลำบากแน่ๆ คิดเสียว่าตัดไฟตั้งแต่ต้นลมจะดีกว่า”
“จะไปยากอะไรกันเหล่าพี่หมง พูดให้มันเด็ดขาดไปเลย มันจะได้จบๆ กันไปซักที” ซ่อนกลิ่นกล่าวเสริม เพื่อแสดงความคิดเห็น
“ไม่ต้องเป็นกังวลหรอกจ้ะ เดี๋ยวเรื่องนี้น้องไปจัดการเองจะดีกว่า เป็นผู้หญิงด้วยกันพูดคุยกันง่าย
นกยูงคงเข้าใจและยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างมีสติ ซึ่งจะดีกว่าให้ผู้ชายไปพูดคุยเสียอีกนะจ๊ะ”
กิมลั้งกล่าวเสริม เพื่อแสดงความคิดเห็นบ้าง พร้อมอธิบายเหตุผลด้วยความเชื่อมั่นในความสามารถของตน
“ได้ แต่พี่ขอไปด้วยนะน้องกิมลั้ง เพราะพี่เกรงว่าหากน้องนกยูงรู้เรื่องการแต่งงานของเรา พี่กลัวว่า
น้องนกยูงจะอาละวาดกันไปใหญ่โต”
“น้องยังไงก็ได้ แล้วแต่พี่หมงเถอะค่ะ พี่หมงว่ายังไง น้องก็ว่ายังงั้น” กิมลั้งเอ่ยอย่างเห็นดีเห็นงาม
คล่อยตามใจว่าที่สามี ตั้งแต่ยังไม่ได้ใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน สมกับเป็นช้างเท้าหลังเสียจริงๆ และเมื่อทุกเรื่อง
ที่พูดคุยกัน ได้ข้อสรุปและตกลงกันได้ จึงทำให้ทุกคนโล่งอกโล่งใจ ค่อยผ่อนคลายความกังวลลงไปได้บ้าง
“เออ….พรุ่งนี้เป็นวันพญาวัน เราไปเจอกันที่ก่อกองทรายนะจ๊ะน้องสายบัว” นายหมงเอ่ยชวนอย่างยิ้มระรื่น
“เอ่อ….น้องกิมลั้งด้วยนะจ๊ะ”
สายบัวไม่ว่ากระไร ทำได้แค่น้อมศีรษะแทนการตอบรับ พลางส่งยิ้มหวานให้อย่างไม่เต็มปากนัก
โดยมีสายตาของกิมลั้งชำเลืองมองอยู่ เพราะถึงอย่างไรกิมลั้งก็รู้อยู่แก่ใจแล้วว่า แม้ตนเองจะได้
แต่งงานกับนายหมง แต่หัวใจรักของนายหมงไปอยู่ที่สายบัวเพื่อนรักอย่างหมดหัวใจ ถึงแม้จะไม่
สบอารมณ์ของตนเองบ้างสักเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถไปถือโทษโกรธสายบัวได้เลยสักนิดเพราะด้วยความเป็นเพื่อนรักกัน มันยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใดทั้งสิ้น และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือการแต่งงานระหว่างตน
กับนายหมงที่เกิดขึ้นครั้งนี้ มิได้เกิดจากความรักเป็นพื้นฐาน แต่เป็นเพราะการถูกคลุมถุงชนของ
ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ซึ่งไม่เคยนึกเลยว่า ตนเองจะถูกผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายคลุมถุงชนให้แต่งงานตาม
แบบประเพณีดั่งเดิมที่มักนิยมใช้กันมาตั้งแต่โบราณกาล
“แล้วน้องซ่อนกลิ่นของพี่ล่ะ พรุ่งนี้ไปเจอกันด้วยนะจ๊ะ” นายส่วนเอ่ยชวนบ้าง
“อีตาบ้า ยังไม่ได้เป็นอะไรกันเลยซักหน่อย บังอาจมาแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของนะยะ”ซ่อนกลิ่นนึกต่อว่าในใจ แต่เอ่ยปากไปว่า
“จ้ะ” ซ่อนกลิ่นตอบรับด้วยท่าทางเอียงอาย จนทำให้ทุกคนนึกขันหัวเราะชอบใจกันทั้งวงสนทนา
78
เช้าตรู่วันที่ 15 เมษายน พุทธศักราช 2454 วันนี้เป็นวันพญาวันของประเพณีตรุษสงกรานต์ทุกครอบครัวต่างพากันมาทำบุญตักบาตร ณ วัดศรีตรารามหรือวัดน้ำหัก หรือวัดใกล้เคียงที่สะดวก เช่น วัดมะเขือแจ้ วัดมณีบรรพตวรวิหาร ฯลฯ ทุกครอบครัวจัดเตรียมอาหารคาวจำพวกแกงฮังเล
แกงมะแฮะกินกับข้าวเกียบทอด แกงโฮะ ส่วนของหวานจำพวกข้าวเหนียวแดง ขนมกวน ขนมข้าวตอก ขนมนางเล็ด ขนมข้าวแต๋น น้ำมะกรูดส้มป่อยเพื่อสรงน้ำพระสงฆ์ และพระพุทธรูปประจำวัดต่างๆ
พร้อมด้วยดอกไม้รูปเทียน เมื่อทานขันข้าวถวายพระ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับบรรพบุรุษหรือญาติมิตร
ที่ล่วงลับไปแล้ว จากนั้นต่างก็พากันมาที่กองทรายที่ขนมาตั้งแต่เมื่อวาน เพื่อถวายเจดีย์ทรายและถวายจ่อตุง
นายหมงพร้อมด้วยเพื่อนชายกำลังช่วยสาวๆ ก่อเจดีย์ทรายอย่างขยันขันแข็ง เพื่อให้สาวๆ ปักช่อตุง
ที่มีทั้งรูปสามเหลี่ยมชายธง รูปลวดลายต่างๆ ด้วยสีสัดสดใส ซึ่งตุงที่นิยมกันมากคือตุง 12ราศี
หรือตุง 12 นักษัตร ที่ทำมาจากกระดาษว่าวหรือกระดาษสา เรียกว่า ตุงปี๋ใหม่เมือง
“พี่หมงไปปักช่อตุงกับนกยูงนะจ๊ะ” นกยูงวิ่งเข้าไปเกาะแขนแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอย่าง
โจ่งแจ้ง โดยไม่สนใจสายตาผู้ใดแม้แต่น้อย
“อย่าดีกว่าน้องนกยูง พวกเรามาปักช่อตุงบนเจดีย์ทรายที่เดียวกันหลายๆ คนจะได้บุญร่วมกันอีกอย่างมีเพื่อนหลายๆ คนสนุกดีนะ” นายหมงหว่านล้อมด้วยวาจาอ่อนหวาน เสมือนเอาน้ำเย็นเข้าลูบเพื่อให้นกยูงใจเย็นลง
“ไม่เอา….ไม่เอา นกยูงอยากจะปักช่อตุงกับพี่หมงแค่เพียงสองคนเท่านั้น คนอื่นหน้าไหนไม่เกี่ยว” หล่อนยังดื้อดึงไม่ยอมลดราวาศอก
“พี่ว่ามันจะไม่เหมาะไม่ควรนะจ๊ะน้องนกยูง ดูสิเพื่อนๆ ของน้องก็อยู่ตรงนี้ตั้งหลายคน จะไปที่อื่นทำไมกัน”
ว่าพลางส่งสายตาให้กับทุกคน ที่ต่างยืนจ้องมองอยู่เหมือนกัน ด้วยความเบื่อหน่ายเอือมระอา
“เชอะ….นกยูงไม่สนใจเพื่อนหรอก ตอนนี้นกยูงสนใจพี่หมงเพียงคนเดียวเท่านั้น” นายหมงถอนหายใจ
เฮือกใหญ่ พลางส่ายหน้าต่อพฤติกรรมของหล่อน
“ไปกับพี่ดีกว่านะจ๊ะน้องนกยูง อย่าไปยุ่งกับพี่หมงเค้าเลย พี่เค้าจะแต่งงานแล้ว” นายใจพูดตัดบท
เพื่อต้องการจะช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น
“อ้าว ก็ถูกต้องแล้วไง ที่พี่หมงกำลังจะแต่งงาน ก็หมายความว่าจะแต่งงานกับฉันไง ไอ้โง่!”
นกยูงลอยหน้าลอยตาพูดอย่างไม่สนใจใคร ทุกคนเมื่อได้ยินคำสบถของนกยูงต่างนิ่งอึ้งกันไปหลายวินาที โดยที่ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากกล่าวอะไรกัน ทำได้แค่เพียงมองหน้าแล้วนิ่งเงียบงันกันไป
นายหมงคิดว่าวันนี้ เวลานี้ เป็นนิมิตรหมายที่ดี จึงตัดสินใจสะกิดแขนกิมลั้งให้ชวนนกยูงออกไป
จากลานก่อเจดีย์ทราย แล้วมาหยุดตรงใต้ต้นราชพฤกษ์ (ต้นดอกคูน,ต้นลมแล้ง) ที่กำลังออกดอก
เป็นพวงระย้า ห้อยย้อยสีเหลืองอร่ามสวยสดสะพรั่งเต็มต้น จนแทบมองหาใบไม้สีเขียวไม่เจอซักใบ
79
“มีอะไรรึกิมลั้ง ทำไมถึงต้องดึงแขนฉันจนเจ็บ แล้วนี่ออกมาทำอะไรตั้งไกลเกือบจะถึงท่าน้ำ
อยู่แล้วนะแก”
“นกยูง….แกฟังฉันนะ พี่หมงมีเรื่องอยากจะบอกกับแกให้รู้เรื่องและเข้าใจ”
“เรื่องอะไรเหรอแก แต่ถ้าเป็นเรื่องแต่งงานฉันรู้แล้ว”
“เธอรู้เรื่องแต่งงานของพี่หมงยังไง” กิมลั้งตั้งคำถามกับเพื่อนรักด้วยน้ำเสียงห้วนๆ
“อ้าว พี่หมงจะแต่งงานกับฉันไงแก” นกยูงตอบอย่างหน้ายิ้มระรื่น
“มันไม่ใช่อย่างที่น้องนกยูงเข้าใจหรอก” นายหมงต้องหยุดพูดต่อ เพราะกว่าจะกลืนน้ำลายลงคอได้
มันช่างลำบากเสียเหลือเกิน เขาค่อยๆ ผ่อนลมหายใจอย่างแผ่วเบาออกมาช้าๆ เหมือนคลายความเครียดที่อยู่ในใจ แล้วตัดสินกล่าวต่อว่า
“พี่อยากจะบอกให้น้องนกยูงรู้ว่า ผู้หญิงที่พี่จะแต่งงานด้วยคือ….คือน้องกิมลั้ง”
นกยูงแทบล้มทั้งยืน เสมือนโดนสายฟ้าฟาดลงมากลางกบาลอย่างแรง จนทำให้หูตาพร่ามัวแทบยืน
ไม่ติดกับพื้น จนกิมลั้งต้องรีบเข้าไปพยุง แต่กลับโดนสะบัดแขนออกจากความช่วยเหลือของเพื่อนรักพร้อมคำต่อว่าเสียงดัง
“ปล่อย! ไม่ต้องมายุ่ง ฉันยืนของฉันเองได้ คนอย่างฉันไม่ตายง่ายๆ หรอก” แล้วหันไปตวาดนายหมง
เสียงดังปนสั่นเครือว่า
“พี่หมงพูดแบบนี้มันหมายความว่ายังไง”
“พี่เคยพูดกับน้องนกยูงแล้วใช่มั้ยว่า พี่รักน้องนกยูงแบบน้องสาว มิได้คิดรักแบบฉันชู้สาวแต่อย่างใด
และที่ผ่านมาหลายๆ ครั้ง พี่ก็พยายามอธิบายให้น้องนกยูงให้เข้าใจ จนนับครั้งไม่ถ้วนแล้วใช่หรือไม่”นกยูงไม่ตอบ กลับส่งเสียงสะอื้นไห้เสียงดังมากขึ้น
“นกยูงฟังฉันพูดก่อนนะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นเป็นไปตามความประสงค์ของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย
ฉันกับพี่หมงถูกคลุมถุงชนให้แต่งงานตามประเพณีดั่งเดิม ที่เราทั้งสองไม่อาจขัดคำสั่งของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายได้ ฉันคิดว่าแกคงจะเข้าใจนะจ๊ะ” กิมลั้งกล่าวด้วยวาจาอ่อนโยน เสมือนเอาน้ำเย็นเข้าลูบ
ให้เพื่อนรักใจเย็นลง
“พอ….พอได้แล้ว ฉันไม่อยากฟัง” นกยูงกรีดร้องเหมือนคนเสียสติ น้ำตาที่ไหลพรั่งพรูอาบสองแก้มนั้น แสดงถึงความโกรธแค้น ชิงชัง และผูกแรงอาฆาตพยาบาทอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ก่อนจะวิ่งหนีผละออกไป
จากคนทั้งสอง แล้วหายลับไปทางท่าน้ำวัดน้ำหัก และตั้งแต่ตอนบ่ายจนถึงตอนเย็น ลูกหลาน
ของแต่ละครอบครัวต่างพากันไปรดน้ำดำหัวเพื่อคารวะขอขมาลาโทษผู้เฒ่าผู้แก่ บิดามารดา ปู่ย่า
ตายาย ญาติพี่น้องผู้อาวุโส ผู้มีบุญคุณหรือผู้ที่ตนเคารพนับถือ แต่เพื่อนๆ ของนกยูงเกือบทุกคน
และผู้คนที่รู้จักคุ้นเคย ต่างไม่เห็นหน้านกยูงแต่อย่างใด
บทประพันธ์โดย นิพรรนา