หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม แต่งรูป คำคม Glitter สเปซ ไดอารี่ เกมถอดรหัสภาพ เกม วิดีโอ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ตรอกรักปั๋นใจ๋ ตอนที่ 7

เนื้อหาโดย Takflim ตากฟิล์ม

ตอนที่ 7

ตลอดระยะเวลาสองสัปดาห์ที่นายหมงต้องดูแลกิจการทำไม้ และรีบสะสางงานที่ค้างคาอยู่ในปางไม้ เพื่อให้แล้วเสร็จก่อนที่จะนำกองคาราวานสินค้าเดินทางไปยังอำเภอแม่สอดเพราะที่ผ่านมา

นายเปาไม่ได้สนอกสนใจงานในปางไม้ มัวแต่มั่วอยู่กับสุรา นารี และสูบฝิ่น จนร่างกายซูบซีดเหลือง

ผอมโซ และทรุดโทรมลงไปมากจนสังเกตได้ คงมีแต่เพียงนายลอยและนายอองเล ที่ช่วยเป็นหูเป็นตา

ดูแลกิจการทำไม้ในปางไม้มาโดยตลอด การเรียกคนงานมาประชุมพูดคุยเพื่อปรับความเข้าใจใน

การที่จะขอขึ้นค่าแรง อีกทั้งการดูแลเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่มาคัดเลือกไม้ และตีตราอนุญาตให้ตัดฟันไม้ได้นั้น

สำเร็จลุล่วงผ่านไปด้วยดี จนมาถึงสัปดาห์ที่สามที่จะต้องนำกองคาราวานสินค้าเดินทางไปยังอำเภอแม่สอด

ซึ่งการเดินทางจะต้องใช้ระยะเวลาเกือบสิบห้าวัน จากวันนั้นจนมาถึงวันที่สิบห้าของการเดินทาง

กองคาราวานสินค้าจึงได้เดินทางมาถึงจุดหมายปลายทางคือ ตลาดสดริมแม่น้ำเมย ที่ตั้งอยู่บริเวณ

ชายแดนระหว่างไทยกับพม่า ซึ่งเช้าวันนี้ผู้คนคึกคักเป็นพิเศษ เพราะเป็นวันเสาร์ต้นเดือน จึงทำให้

ตลาดสดคับคั่งเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ทั้งที่เป็นคนไทย คนจีนแต้จิ๋ว คนจีนแคะ คนพม่า (ม่าน) คนแขกมุสลิมที่นับถือศาสนาอิสลาม (บังคลาเทศเชื้อสายเบงกาลี) (แขกกะลา) คนฉานหรือคนไทใหญ่

(เงี้ยว) คนกะเหรี่ยง และคนมอญ ต่างจับจ่ายซื้อขายสินค้าส่งเสียงเซ็งแซ่ดังลั่นไปทั่ว กองคาราวาน

สินค้าของนายหมงมาถึงตั้งแต่เช้ามืด และขายสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ จนหมดเกลี้ยง ส่วนขากลับ

เมืองระแหงจะซื้อสินค้าจำพวกอัญมณี ได้แก่หยก เพชร พลอย (โกเมน ทับทิม บุษราคัม  เพทาย

ไพลิน ไพฑูรย์ มุกดาหาร และมรกต) งาช้าง เขาและหนังสัตว์ป่า เครื่องเทศ กุ้งแห้ง ปลาหัวยุ่งตากแห้ง

ยาเส้นแม่ละเมา และยาผงแดงพม่าที่คนไทยนิยมชมชอบบริโภคกันมาก ซึ่งเป็นยาสมุนไพรที่แก้ลม

วิงเวียนศีรษะ หน้ามืดตาลาย แก้จุกเสียด แน่นท้อง คลื่นเหียน อาเจียน แก้ไข้สะบัดร้อนสะบัดหนาว

บำรุงหัวใจและบำรุงธาตุ และเมื่อสินค้าดังกล่าวมาถึงเมืองระแหง ก็จะนำไปส่งให้กับร้านค้าใน

ชุมชนตรอกบ้านจีน บางรายจะล่องเรือขึ้นไปขายที่จังหวัดลำปางจนไปถึงจังหวัดเชียงใหม่

และบางรายจะล่องเรือลงไปขายที่กรุงเทพมหานคร

​อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เป็นหนึ่งในเก้าอำเภอของจังหวัดตาก มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่า 

มีมาเมื่อประมาณ 120 ปี (ประมาณปีพุทธศักราช 2404 - 2405) อยู่ทางซีกตะวันตกของแม่น้ำปิง

โดยมีชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงตั้งถิ่นฐานทำมาหากิน เรียกว่า “หมู่บ้านพะหน่อแก” ต่อมาคนไทยจากถิ่นอื่น

ทางภาคเหนือ เช่น ชาวอำเภอเถิน จังหวัดลำปาง อพยพมาทำมาหากินและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้

ชาวกะเหรี่ยงผู้เป็นเจ้าของถิ่นฐานเดิมที่มิชอบอยู่ปะปนกับชนเผ่าอื่น ต้องอพยพหนีไปอยู่ที่อื่น

จากวันนั้นหมู่บ้านนี้ได้เจริญรุ่งเรืองตามลำดับ ต่อมาทางราชการได้ย้ายด่านเก็บภาษีอากรจาก

บ้านแม่ละเมา มาอยู่ที่หมู่บ้านพะหน่อแกแห่งนี้และได้รับการยกฐานะเป็นอำเภอแม่สอด

เมื่อปีพุทธศักราช 2441 โดยอยู่ในเขตปกครองของมณฑลนครสวรรค์ จนกระทั่งมีการปรับปรุง

แก้ไขระบบบริหารราชการส่วนภูมิภาค จึงให้อำเภอแม่สอดมาอยู่ในเขตปกครองของจังหวัดตาก

56

จนถึงปัจจุบัน โดยอยู่ห่างจากอำเภอเมืองตากจังหวัดตาก 86 กิโลเมตร

เช้าวันใหม่บรรยายกาศยามเช้ายังคงหนาวเหน็บ ด้วยลมเย็นที่พัดผ่านเข้ามาให้สัมผัสได้

กองคาราวานสินค้ากำลังเดินทางกลับไปยังเมืองระแหง แต่ต้องแวะที่ปางไม้ของบริษัทกิมเซ่งหลี

เพื่อกลับไปดูแลกิจการทำไม้ต่อ ในขั้นตอนการชักลากไม้ซุง และคิดคำนวณเรียกเก็บเงิน

ค่าภาคหลวงไม้และค่าบำรุงป่า (ถ้ามี) หลังจากที่ได้ผ่านกระบวนการการคัดเลือกไม้ การตีตรา

อนุญาตให้ตัดฟันไม้ การตีตราอนุญาตให้ชักลาก เพื่อนำไปรวมกองกันไว้ที่หมอนไม้ให้เรียบร้อย

“ผมรู้สึกว่ามาแม่สอดคราวนี้ ผมกับอาโปรยไม่ค่อยจะได้พูดคุยกันซักเท่าไหร่นะครับ”

นายหมงยิงคำถามไปหาว่าที่พ่อตาด้วยน้ำเสียงสดใส ขณะเหยาะย่างม้าคู่ใจเคียงข้างม้าต่าง

(ใช้แรงงานม้าขนส่ง) ที่มีนายลอยนั่งควบคุมอยู่

“ครับท่านพ่อเลี้ยง” นายโปรยตอบรับพร้อมรอยยิ้มมิตรไมตรี แต่เคยคิดอยู่ในใจว่า สักวันเจ้านาย

จะต้องคุยเรื่องขอสายบัวแต่งงานกับตนเป็นแน่

“อาโปรยคิดว่า การมีครอบครัวถือเป็นเรื่องใหญ่รึเปล่าครับ” นายโปรยหันไปสบตากับเจ้านาย

แล้วนิ่งเงียบไป แต่ในใจกลับคิดว่า วันนี้มาแปลกกว่าทุกครั้งที่มีโอกาสได้พูดคุยกัน แถมยังเข้าใจ

เลี้ยวอ้อมตั้งคำถาม เรื่องรักเรื่องใคร่มาซักถามให้แปลกใจ นายโปรยอมยิ้มที่มุมปากก่อนตอบไปว่า

“เรื่องใหญ่สิครับท่านพ่อเลี้ยง การใช้ชีวิตคู่มันไม่ใช่แค่คนสองคน แต่มันยังรวมไปถึงญาติของเรา

ญาติของเค้า ไหนจะเรื่องทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เพราะมันไม่ใช่แค่ปากเดียวท้องเดียว

ไหนจะลูก ไหนจะเมีย แถมยังจะต้องดูแลครอบครัวของญาติแต่ละฝ่ายอีก ถ้ามันเกิดมีปัญหาขึ้นมา

โอ๊ย....ยุ่งวุ่นวายไปหมด โบราณเค้าถึงว่า คนในอยากออกคนนอกอยากเข้ายังไงละครับท่านพ่อเลี้ยง”

“อืม….ที่อาโปรยพูดมาก็มีเหตุผล แต่ของอย่างนี้ไม่ลองก็ไม่รู้นะครับ” นายหมงกล่าวติดตลก

ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มเล็กๆ อย่างอารมณ์ดีมีความสุข

“ครับท่านพ่อเลี้ยง ก็เพราะไม่ลองไม่รู้เนี่ยแหละครับ มันถึงเกิดปัญหาต่างๆ ตามมามากมาย

คนไหนเจอคู่ชีวิตที่ดี ก็เหมือนถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง แต่ถ้าคนไหนเจอคู่ชีวิตที่ไม่ดีก็เหมือน

ตกนรกทั้งเป็น” นายโปรยอธิบายร่ายยาว พลางสูบยาเส้นแม่ละเมาเข้าเต็มปอด เพื่อเรียกความสดชื่น

และเพิ่มพละกำลังที่ได้จากสารนิโคตินเมื่อเข้าสู่ร่างกาย ก่อนว่าต่อ

“อย่างผมถือว่าโชคดีครับท่านพ่อเลี้ยง ที่ได้ลูกได้เมียดี เป็นแม่บ้านแม่เรือนคอยดูแลปรนนิบัติ

อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง” นายโปรยกล่าวเหมือนมีเลศนัย

“อาโปรยว่าการที่เราจะเลือกหาผู้หญิงมาเป็นคู่ชีวิตนั้น มันสำคัญมากมั้ยครับ” เป็นคำถามที่

นายหมงนิ่งคิดอยู่พักใหญ่ก่อนเอ่ยถาม

“สำคัญมากสิครับท่านพ่อเลี้ยง หาผู้หญิงมานอนกับเราหาวันนี้พรุ่งนี้ก็หาได้ แต่หาผู้หญิงที่

57

จะมาเป็นคู่ชีวิตคนรู้ใจ ที่เป็นได้ทั้งเมีย เป็นได้ทั้งเพื่อนคู่คิด และสุดท้ายเป็นได้ทั้งแม่ของลูก

ให้เรามันหายากนะครับ เพราะฉะนั้นเราจะต้องคิดให้รอบคอบและมองให้ดีๆ”

“ถ้ายังงั้นผมก็ถือว่าโชคดีสิครับ ที่ตัดสินใจเลือกผู้หญิงที่จะมาเป็นคู่ชีวิตคนรู้ใจ และเป็นแม่

ของลูกผมได้แล้ว”

“ครับท่านพ่อเลี้ยง” นายโปรยตอบรับอย่างนอบน้อมแต่หัวใจกลับเต้นแรง นายหมงทอดสายตาเหม่อมองออกไปข้างทางที่เป็นป่าเขาลำเนาไพร เผื่อจะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดลงไปได้บ้าง

ก่อนจะหันกลับเข้ามาสบตากับว่าที่พ่อตาแล้วว่า

“อาโปรยครับ….ผม….ผมรักน้องสายบัวนะครับ” นายหมงสารภาพรักลูกสาวคนสวยกับว่าที่พ่อตา

แบบตรงๆ ทำให้นายโปรยตั้งตัวแทบไม่ติดเสมือนจะเขินอายแทนผู้เป็นลูกสาวคนสวย

“อาโปรย….อาโปรยครับ” นายหมงร้องเรียกเสียงดัง

“ครับ….ครับท่านพ่อเลี้ยง” นายโปรยตอบเมื่อได้สติหลังจากตกอยู่ในภวังค์ความคิด

“ลงไปถึงเมืองระแหงเมื่อใด ผมจะให้เตี่ยกับแม่ไปสู่ขอน้องสายบัวแต่งงานทันทีเลยนะครับ”

“ก็แล้วแต่ท่านพ่อเลี้ยงเถอะครับ ถ้าท่านพ่อเลี้ยงไม่รังเกียจสายบัวลูกสาวของผม ผมก็ไม่อาจขัดข้องได้หรอกครับ เพราะเรื่องอย่างนี้ เจ้าตัวจะต้องยินยอมพร้อมใจกันทั้งสองคน จะไปบังคับ

ขู่เข็ญก็ไม่ใช่เรื่อง” นายหมงขี่ม้าคู่ใจยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีความสุข เพราะพอใจกับคำตอบของ

นายโปรยผู้เป็นว่าที่พ่อตายิ่งนัก

การชักลากไม้ซุง โดยใช้ช้างของปางไม้บริษัทกิมเซ่งหลีดำเนินไปตามกระบวนการชักลากไม้ซุง

โดยมีหม่องอองเล ควบคุมควาญช้างชาวกะเหรี่ยงที่เรียกว่า “ควาญคอ” ซึ่งทำหน้าที่ขี่บังคับช้าง

ให้ลากไม้ซุงจากหมอนไม้ และมีนายช่วงทำหน้าที่คัดไม้ซุงลงห้วยแม่ท้อ จากปางไม้ของบริษัท

กิมเซ่งหลีที่ดอยรวก แล้วลำเลียงไม้ซุงลงไปจนถึงแม่น้ำปิงตรงชุมชนบ้านปากห้วยแม่ท้อเพื่อรวบรวม

ทำเป็นแพไม้ซุงล่องต่อไปยังโรงเลื่อยไม้หรือตลาดค้าไม้ ทั้งนี้ห้วยแม่ท้อจะไหลกั้นกลางระหว่าง

ชุมชนบ้านปากห้วยแม่ท้อกับชุมชนบ้านป่ามะม่วง

“เฮ้ย….ไอ้หม่องอองเล เอ็งเห็นเตี่ยข้าบ้างรึเปล่าวะ” นายช่วงร้องถามเพื่อนร่วมงาน

“ข้าไม่เห็นมาสองสามวันแล้วนะ” หม่องอองเลตอบอย่างไม่มองหน้าผู้ถาม เพราะยุ่งอยู่กับการช่วย

ควาญตีนชาวกะเหรี่ยงร้อยโซ่ลากเข้ากับจมูกไม้ซุง เพื่อลากไปลงห้วยแม่ท้อ

“แต่เมื่อสามวันก่อน ข้ายังเห็นลุงเปานั่งกินข้าวเย็นร่วมกับท่านพ่อเลี้ยง และพวกหัวหน้าอยู่นี่”

“ใช่ ข้าก็เห็นอยู่ แต่ตอนเตี่ยข้าโดนท่านพ่อเลี้ยงต่อว่าเรื่องชอบหยุดงานบ่อยๆ จนมีปากเสียงทะเลาะกัน

แล้วก็เห็นแกเดินหนีออกไป จากวันนั้นจนมาถึงวันนี้ ข้าก็ยังไม่เห็นเตี่ยข้าอีกเลย”

 

58

ทั้งนายช่วงและหม่องอองเลต่างสบตากัน แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรกันต่ออีก จนหม่องอองเลช่วยควาญตีน

เอาไม้ท่อนเล็กๆ ที่เรียกว่า “โกลน” ลักษณะเป็นลูกกลิ้ง เพื่อช่วยให้ช้างลากไม้ซุงได้เบาแรงขึ้นจนเสร็จ

จึงตัดสินใจเล่าต่อว่า

“เออ….ข้านึกได้แล้ว คืนนั้นพวกคนงานกะเหรี่ยง พวกมันได้ยินเสียงลุงเปาทะเลาะกับนังมะเอ

เสียงดังลั่นเชียว ไม่รู้ว่าทะเลาะกันเรื่องอะไร แต่พอสักพักเห็นพวกมันบอกว่าเสียงทะเลาะก็เงียบหายไป”

“อืม….ข้าว่าก็คงเรื่องเดิมๆ นั่นแหละ เมาเหล้า เมาฝิ่น หรือไม่ก็คงจะซาดิสม์จนอีนังบำเรอเตี่ยข้าทนไม่ไหว”

หม่องอองเลมองหน้านายช่วง อย่างไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่กับคำพูดที่ว่า อีนังบำเรอ เพราะอย่างน้อย

มะเอก็เป็นคนพม่าบ้านเดียวกัน จนนายช่วงรู้สึกได้จึงกล่าวออกมาว่า

“เฮ้ย….ไอ้หม่องอองเล ข้าขอโทษ ข้าลืมนึกไป” หม่องอองเลพยักหน้ารับหงึกหงัก แล้วเอ่ยขึ้นมาอย่างสงสัยว่า

“แต่….เอ ข้าก็ไม่เห็นหน้ามะเอมันมาสองสามวันแล้วเหมือนกันนะ”

คำพูดของหม่องอองเลทำให้สีหน้าของนายช่วงส่อแวววิตกกังวล และเมื่อฉุดคิดอะไรขึ้นมาได้

จึงชวนกันไปหานายเปาที่ห้องพักหลังปางไม้ของบริษัทกิมเซ่งหลีทันที

บรรยากาศห้องพักของนายเปาหลังปางไม้ที่อยู่ห่างออกไปจากห้องพักคนงานชาวกะเหรี่ยง

เกือบๆ 200 เมตร ทำไมวันนี้มันช่างเงียบเหงาและวังเวงชอบกล นายช่วงกับหม่องอองเลเดินมาถึง

หน้าห้องพักของนายเปา พลันจมูกของคนทั้งสองเริ่มรู้สึกได้กลิ่นเหม็นเน่าอะไรบางอย่างเหมือนซาก

สัตว์ที่ตายมาแล้วหลายวัน ส่งกลิ่นเหม็นฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณนั้นเมื่อมีลมพัดโชยเข้ามา

“อะไรตายวะ....เหม็นฉิบหาย” นายช่วงสบถคำด่า แล้วใช้มือทั้งสองหมายจะผลักประตูห้องพักเข้าไป

แต่ประตูห้องพักถูกล็อกจากข้างใน ทำให้นายช่วงตัดสินใจตะโกนร้องเรียกหาเสียงดังลั่น

“เตี่ย….เตี่ย….เตี่ยอยู่ในห้องรึเปล่า” เงียบไม่มีเสียงตอบรับจากนายเปา

“มะเอ….มะเออยู่รึเปล่า” เงียบและไม่มีเสียงตอบรับเช่นกัน คนทั้งสองต่างมองหน้ากัน

และดูเหมือนว่าจะมีความคิดที่ตรงกัน จึงช่วยกันใช้พละกำลังที่มีอยู่ผลักประตูห้องพักอย่างแรง

จนเกิดเสียงดังขึ้น

“โครม....”

เมื่อประตูห้องพักถูกเปิดออก สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาแก่คนทั้งสองนั่นคือ สภาพศพของนายเปากับมะเอ

ที่นอนตายก่ายกัน โดยมีมีดปักคาอกข้างซ้ายของนายเปา ส่วนสภาพศพของมะเอโดนมีดปาดคอ

จนเกือบขาด สภาพศพทั้งสองขึ้นอืดและเริ่มเน่าเฟะ ส่งกลิ่นเน่าเหม็นตลบอบอวนฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง

“เตี่ย!”

“มะเอ!”

59

ทั้งสองอุทานชื่อบุคคลที่ตนเองรู้จักออกมาอย่างลืมตัว และคาดไม่ถึงเลยว่าเหตุการณ์แบบนี้

จะเกิดขึ้นได้ในปางไม้แห่งนี้ เมื่อข่าวการเสียชีวิตของนายเปากับมะเอแผ่กระจายไปทั่วปางไม้

นายเหมาจึงสั่งจัดการเผาศพคนทั้งสองเสียให้เรียบร้อย เพราะสภาพศพของนายเปานั้นไม่สามารถ

นำร่างเดินทางกลับมาประกอบพิธีทางศาสนายังเมืองระแหงได้ โดยทั้งนายช่วงและหม่องอองเล

ก็ไม่ได้ติดใจเอาความอะไรแต่อย่างใด เพราะรู้ว่าการเสียชีวิตของคนทั้งสองเกิดจากพิษรักแรงหึง

และความไม่พอดีในการดำรงชีวิตคู่ร่วมกัน

หลังจากกลับมาจากปางไม้ของบริษัทกิมเซ่งหลี พร้อมข่าวการเสียชีวิตของนายเปา

โดยมีการแจ้งให้ผู้ร่วมงานในบริษัทกิมเซ่งหลีและหมู่เครือญาติทั้งหมดได้รับรู้ทั่วกัน นายช่วงนำ

เถ้ากระดูกของผู้เป็นบิดามาสวดบำเพ็ญกุศลต่อที่บ้าน เพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับ

โดยนายหมงได้มอบเงินก้อนใหญ่จำนวนหนึ่งเพื่อเป็นการปลอบขวัญและให้กำลังใจช่วยเหลือ

ครอบครัวของนายเปา ในฐานะเป็นคนในบริษัทกิมเซ่งหลี และเป็นเครือญาติตระกูลแซ่หลี

เดียวกันกับนายเต็ง แซ่หลีด้วย แต่เงินก้อนใหญ่จำนวนดังกล่าว ที่ครอบครัวได้รับมานั้น

กลับไม่เป็นที่พอใจสักเท่าไหร่ เพราะยังมีคำถามที่คั่งค้างคาใจ เกี่ยวกับการเสียชีวิตของผู้เป็นบิดา

โดยเฉพาะนกยูงที่อาฆาตมาดร้าย และเครียดแค้นอยู่ในใจ

“พี่ช่วง….ใครเป็นคนฆ่าเตี่ยของเรา” นกยูงร้องถามผู้เป็นพี่ชาย ขณะนั่งล้อมวงกินข้าวเย็นอย่าง

พร้อมหน้าพร้อมตากันที่บ้าน

“อีนังบำเรอของเตี่ยไง” นายช่วงตอบ เพราะรู้และเห็นความจริงมาตลอด

“ไม่ใช่” น้ำเสียงนกยูงเขียวขุ่น ก่อนว่าต่อ

“แต่ข่าวที่ฉันได้ยินมาบอกว่า ก่อนหน้านั้นเตี่ยของเราทะเลาะกับพี่หมง แล้วหลังจากนั้นเตี่ยของเราก็ถูกฆ่าตาย”

“มันจริงหรือวะนกยูง” นางเดือนผู้เป็นมารดาร้องถามเพื่อความแน่ใจ

“จริงจ้ะแม่”

“เอ็งเอาอะไรมาพูด เอ็งพูดอย่างนี้จะให้หมายความว่ายังไงวะ” นายช่วงถามด้วยสีหน้าฉงนสงสัย

“พี่หมงเป็นต้นเหตุให้เตี่ยของเราถูกฆ่าตาย”นกยูงตอบอย่างมั่นใจ

“ทำไมเอ็งถึงคิดยังงั้นวะ” สีหน้านายช่วงยังไม่คลายสงสัย

“ฉันว่าพี่หมงต้องการกำจัดเตี่ยของเราให้ออกไปจากบริษัท เพื่อหวังจะฮุบธุรกิจการทำไม้และโรงเลื่อยไม้ทั้งหมดไว้แต่เพียงผู้เดียว เพราะจริงๆ แล้ว คนที่ควรจะได้รับกิจการทั้งหมดต่อจากอาแปะเต็งก็คือ

เตี่ยของเรา ใครๆ ต่างก็รู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองว่าอาแปะเต็งกับเตี่ยของเราเป็นพี่น้องเครือญาติตระกูลเดียวกัน เพราะฉะนั้นฉันจะต้องแก้แค้นและเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของเตี่ยของเรากลับคืนมาให้ได้”

“จะดีเหรอนกยูง เอ็งเข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่า”

“ไม่เข้าใจผิดหรอกพี่ช่วง อะไรที่ควรจะเป็นของเรา มันก็ควรที่จะต้องกลับคืนมาเป็นของเราอยู่วันยังค่ำ

60

ไม่ใช่ให้คนอื่นมาชุบมือเปิบเอาไปง่ายๆ” นกยูงอธิบายด้วยอารมณ์เครียดแค้น

“แต่ว่า….” นายช่วงพยายามจะคัดค้าน เพราะความจริงนั้นไม่ใช่ตามความเข้าใจของนกยูงแต่อย่างใด

“ไม่มีคำว่าแต่….ยังไงเสียฉันก็จะต้องเอากลับคืนมาให้สำเร็จ พี่ช่วงคอยดูฉันก็แล้วกัน ”

ทั้งสีหน้า แววตา และน้ำเสียงของนกยูงมีแต่ความโกรธแค้น และผูกแรงอาฆาตพยาบาทไม่มีที่สิ้นสุด

เพราะในส่วนลึกของความคิด มันไม่ใช่เฉพาะแค่เรื่องธุรกิจการทำไม้และโรงเลื่อยไม้เท่านั้น

แต่ยังรวมไปถึงเอาตัวนายหมงมาครอบครองให้จงได้ นกยูงเชิดหน้าทำท่าทางอย่างเชื่อมั่น

พลางบ่นพึมพำอย่างเคร่งเครียดว่า

“กูจะขอจองเวรจองกรรมกับมึงทุกชาติไป….อีสายบัว”

วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พุทธศักราช 2454 แรม 15 ค่ำ เดือน 2 ปีจอ เป็นวันตรุษจีน

หรือเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ เป็นการขึ้นปีเพาะปลูกใหม่ แต่เป็นวันสิ้นสุดฤดูหนาว เพราะฤดูใบไม้ผลิ

ตามปฏิทินจีนเริ่มต้นด้วยวันลีชุน ซึ่งเป็นวันแรกในทางสุริยคติของปีปฏิทินจีน โดยเริ่มต้นในวันที่ 1 เดือน 1 ในปฏิทินจีนโบราณ และสิ้นสุดลงในวันที่ 15 ด้วยเทศกาลโคมไฟ และคืนก่อนวันตรุษจีน

จะเป็นวันที่ครอบครัวชาวจีนมารวมญาติ เพื่อรับประทานอาหารเย็นกันเป็นประจำทุกปี เรียกว่า“ฉูซี่”

หรือการผลัดเปลี่ยนยามค่ำคืน เนื่องจากปฏิทินจีนเป็นแบบสุริยจันทรคติ วันตรุษจีนจึงมักเรียกว่า

“วันขึ้นปีใหม่จันทรคติ”

​วันตรุษจีน เป็นวันขึ้นปีใหม่ของชาวจีนที่มีมาแต่โบราณ เรียกว่า “กว้อชุนเจี๋ย” หรือ “กว้อเหนียน”

เล่ากันว่า สมัยก่อนครั้งโบราณกาล ในป่าทึบมีสัตว์ป่าดุร้าย และน่ากลัวมากตัวหนึ่ง เรียกว่า“เหนียน”

มักออกอาละวาดไล่กินมนุษย์เป็นประจำ พระเจ้าเบื้องบนจึงลงโทษด้วยการอนุญาตให้ลงมาจากเขาได้เพียงครั้งเดียวใน 365 วัน ดังนั้นเมื่อวัฏจักรของฤดูกาลหมุนเวียน จากใกล้สิ้นหนาวแล้วใบไม้ผลิ

ใกล้จะมาถึง ชาวจีนทุกครัวเรือนต่างสะสมเสบียงอาหารเอาไว้ในบ้าน โดยจะไม่มีการเปิดประตู

และหน้าต่าง เพื่อป้องกันการมาของเหนียน เมื่อผ่านพ้นเลยวันที่ 30 เดือน 12 จนกระทั่งถึงรุ่งเช้า

ที่เป็นวันแรม 1 ค่ำ เดือน 1 เมื่อเหนียนกลับไปแล้ว ชาวจีนทุกครัวเรือนต่างเปิดประตูและหน้าต่าง

เพื่อแสดงความยินดีต่อกันที่โชคดีไม่ได้ถูกเหนียนทำร้าย ต่อมาพบว่าเหนียนมีจุดอ่อน 3 จุด คือ

​1. เด็กในหมู่บ้านแห่งที่หนึ่งกำลังหวดแส้เล่นกัน เมื่อเหนียนได้ยินเสียงแส้ดังเปรี้ยงปร้าง

จึงตกใจแล้วเผ่นหนีไป

​2. แม่บ้านในหมู่บ้านแห่งที่สองนำเสื้อผ้าสีแดงฉูดฉาดตากไว้ที่หน้าบ้าน เมื่อเหนียนได้เห็น

จึงตกใจแล้วเผ่นหนีไป

3. หมู่บ้านแห่งที่สามพบกองเพลิงลุกโชกช่วงอยู่กลางถนนมีแสงเพลิงที่เจิดจ้า เมื่อเหนียนได้เห็นจึงตกใจแล้วเผ่นหนีไป

61

ดังนั้นจากจุดอ่อน 3 จุดของเหนียน ชาวจีนจึงรู้ว่าถึงแม้ว่าเหนียนจะดุร้ายและน่ากลัวเพียงใด

แต่ก็ยังกลัวเสียงดัง สีแดง และไฟ ทำให้ชาวจีนรู้วิธีกำจัดเหนียนได้โดยไม่ยากเลย ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เมื่อวันส่งท้ายตรุษจีนเวียนมาอีกครั้งชาวจีนทุกครัวเรือนต่างนำกระดาษสีแดงมาติด

ไว้บนประตูหน้าบ้าน แขวนโคมไฟสีแดง พร้อมกับจุดประทัดและตีฆ้องรัวกลองอย่างต่อเนื่อง

เมื่อเหนียนได้เห็นกระดาษสีแดง แสงไฟสว่างไสว และได้ยินเสียงประทัดดังสนั่นหวั่นไหว

จึงตกใจแล้วเผ่นหนีเข้าป่า และไม่กล้าออกมาอาละวาดอีกเลย หลังจากชาวจีนทุกครัวเรือน

ผ่านพ้นคืนอันตรายไปด้วยความปลอดภัย เมื่อสู่วันใหม่ทุกคนออกจากบ้านกล่าวคำอวยพร

ซึ่งกันและกัน พร้อมกับนำอาหารมาร่วมรับประทานกันอย่างสนุกสนาน และอย่างมีความสุข

ต่อมาวันดังกล่าวกลายเป็นวันเฉลิมฉลองที่มีแต่ความสุขแล้วเรียกว่า “ตรุษจีน

ณ ศาลเจ้าปึงเท่ากง เทศกาลปีใหม่ของชาวจีนเวียนมาบรรจบครบรอบปีอีกครั้ง ผู้คนคึกคักมากหน้า

หลายตาเต็มไปทั่วบริเวณศาลเจ้าปึงเท่ากง วันนี้บุคคลสำคัญของบริษัทกิมเซ่งหลีได้มารวมตัวกัน

อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา อันมีหลวงจิตรจำนงวานิชนาม (นายบุญเย็น แซ่กิม)  หลวงบริรักษ์ประชากร

(นายทองอยู่ แซ่เซ่ง)  หลวงอุดรภัณฑ์พานิช(นายเต็ง แซ่หลี) และนายซ้ง แซ่ตัน พร้อมด้วยภรรยาและลูก

อีกทั้งยังมีพี่น้องเครือญาติตระกูลแซ่เหมือนกัน และเพื่อนพ้องที่รู้จักคุ้นเคยต่างมากราบไหว้บูชา

เทพเจ้าจีนอันศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 5 พระองค์ ได้แก่ เทียงโฮวเซี้ยบ้อ ปุงเท่ากง ปุงเท่าม่า กวงตี้กงและใช่ซิ่งเอี้ย

เพื่อความเป็นสิริมงคล และนำมาซึ่งความสุขความเจริญแก่ตนเอง และครอบครัวเนื่องในวันตรุษจีน

ศาลเจ้าปึงเท่ากง เป็นศาลเจ้าจีนที่สืบทอดความศักดิ์สิทธิ์แผ่บุญกุศล และเพิ่มพูนบารมี

จากฟ้าดินสู่มวลมนุษย์มาช้านาน โดยเริ่มมีมาตั้งแต่ครั้งสมัยราชวงศ์ “ชิง” ที่สถาปนาได้ 22 ปี

ตรงกับปีพุทธศักราช 2385 หรือปีคริสตศักราช1842 ซึ่งเป็นปีฉลูนับได้ 131 ปี (นับถึงปีพุทธศักราช 2516)

คนจีนที่อาศัยอยู่ในชุมชนตรอกบ้านจีน ต่างร่วมแรงร่วมใจกันสร้างขึ้นด้วยความเสื่อมใสศรัทธา

และเคารพนับถือในองค์เทพเจ้าจีน จึงได้รวมตัวกันเพื่อจัดหาสถานที่ และรวบรวมปัจจัยเพื่อก่อสร้าง

ศาลเจ้าดังกล่าว โดยได้สถานที่ก่อสร้างศาลเจ้าอยู่บริเวณท้ายชุมชนตรอกบ้านจีน ติดกับแม่น้ำปิง

ที่เป็นชัยภูมิเหมาะสมดี และมีภูมิทัศน์ที่เป็นมงคลศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเริ่มแรกศาลเจ้าปึงเท่ากง

เป็นอาคารไม้ธรรมดา ที่ด้านหลังเป็นทิศตะวันออก ส่วนด้านหน้าเป็นทิศตะวันตกติดกับแม่น้ำปิง

“ซิงเจียอยู่อี่ ซิงนี้ฮวกใช้” คำทักทายสวัสดีปีใหม่ ที่เป็นภาษาจีนเซ็งแซ่อื้ออึงไปทั่วศาลเจ้าปึงเท่ากง

“ซิงเจียอยู่อี่ ซิงนี้ฮวกใช้ครับทุกท่าน” เถ้าแก่สิงห์ แซ่ตั้ง กล่าวทักทายบุคคลสำคัญของบริษัทกิมเซ่งหลี

ทั้งสี่ พร้อมโค้งศีรษะคำนับทุกคนอย่างนอบน้อมถ่อมตน

“อ้าว มากันตั้งแต่เมื่อไหร่เถ้าแก่สิงห์” นายซ้งกล่าวทักทายออกสำเนียงจีนแทนทุกคนตามมารยาท 

“มาตั้งแต่เช้าแล้วครับ สายๆ กลัวจะร้อน พอดีแม่บ้านสุขภาพไม่ค่อยจะดี” เถ้าแก่สิงห์ตอบคำถาม

62

“อ้าว อาซ้อเป็นอะไรไปล่ะ ถึงว่าดูหน้าตาซีดเซียวเหมือนไม่ค่อยจะแข็งแรง” นายซ้งถามน้องสะใภ้

“สุขภาพไม่ค่อยจะดีจ้ะเฮียซ้ง ไม่รู้ว่าเป็นอะไรนักหนา อาทิตย์หน้าหมอก็นัดไปตรวจอีกครั้ง”

นางส่องหล้ากล่าวด้วยเสียงสั่นเสียงเครือ

“ไม่ต้องกลัวนะอาซ้อ ใจเย็นๆ ทำใจให้สบาย ภาวนาขอพรจากองค์เทพเจ้าทั้ง 5 พระองค์

ปกปักรักษาคุ้มครองให้แคล้วคลาดปลอดภัย”

“ขอบพระคุณมากจ้ะเฮียซ้งที่เป็นห่วง แต่ถึงยังไงก็ต้องทำใจ เพราะเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นอนิจจังที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน” ทุกคนเงียบงันกันไปเป็นครู่ใหญ่ เมื่อนายซ้งสบตากับนางบุญเรืองผู้เป็นภรรยา

จึงชวนครอบครัวเถ้าแก่สิงห์ พร้อมด้วยนางส่องหล้าและกิมลั้งไปที่ศาลาท่าน้ำริมแม่น้ำปิง

เพื่อหลบหนีผู้คนที่นำอาหารคาว หวาน พร้อมผลไม้สด มากราบไหว้บูชาเทพเจ้าจีนอันศักดิ์สิทธิ์

ทั้ง 5 พระองค์ ได้แก่ เทียงโฮวเซี้ยบ้อ ปุงเท่ากง ปุงเท่าม่า กวงตี้กง และใช่ซิ่งเอี้ย และเสียงประทัดที่ดังสนั่นลั่นไปทั่วบริเวณศาลเจ้าปึงเท่ากง โดยที่นายหมงไม่ได้มาร่วมวงสนทนาด้วยเพราะต้องคอย

ช่วยเหลืองานท่านซินแส และดูแลพี่ๆ พร้อมกับครอบครัวของพี่ๆ ทั้งสี่คนที่นานทีปีหนจะได้มาพบเจอกัน

“วันนี้ถือว่าโชคดี ที่มีโอกาสได้เจอเถ้าแก่สิงห์อาซ้อ และหนูกิมลั้ง พอดีมีเรื่องอยากจะปรึกษาหารือ

สักหน่อยจ้า” นางบุญเรืองเอื้อนเอ่ยเสียงราบเรียบ พร้อมรอยยิ้มมิตรไมตรี

“มีเรื่องอะไรรึพี่บุญเรือง” นางส่องหล้าเอ่ยถามสงสัย นางบุญเรืองทอดสายตามองไปทั่ววงสนทนา

ก่อนตัดสินใจกล่าวต่อ

“ไม่มีอะไรมากหรอกจ้ะ คือ….คือว่าครอบครัวของเราอยากเป็นทองแผ่นเดียวกันกับครอบครัวของแม่ส่องหล้าน่ะจ้ะ”

“โถ…. คิดว่าเรื่องอะไรเสียหนักหนา เรื่องแค่นี้เอง” นางส่องหล้ากล่าว พลางหันไปสบตากับเถ้าแก่สิงห์

ผู้เป็นสามีที่นั่งอยู่เคียงข้างกาย แล้วเถ้าแก่สิงห์จึงเอ่ยขึ้นบ้างว่า

“คิดมากไปได้เรื่องขี้ผง ยังไงเสียทุกสิ่งทุกอย่างก็ขึ้นอยู่ที่เฮียซ้งกับเจ๊นั่นแหละ หากฝ่ายชาย

ไม่รังเกลียดฝ่ายเรา พวกเราก็ยินดี พวกเราคนกันเองเป็นคนใช้แซ่เหมือนกัน พูดง่าย เข้าใจง่าย

ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรให้ยุ่งยาก” นายซ้งหัวเราะเบาๆ อย่างพอใจในคำกล่าวก่อนว่า

“ใครว่าล่ะ ต้องถามฝ่ายหญิงก่อนต่างหาก เพราะถ้าฝ่ายหญิงไม่รังเกลียดฝ่ายเรา ฝ่ายเราก็ไม่

รังเกลียดเช่นกัน” แล้วทุกคนในวงสนทนาต่างหัวเราะชอบใจกันเสียงดังอย่างมีความสุข

เว้นแต่กิมลั้งที่นั่งก้มหน้างุดๆ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผู้ใคร ใบหน้าหวานแดงระเรื่อ

ด้วยความเขินอายกับคำสนทนาของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย หลังจากการเจรจาทาบทามสู่ขอเป็นที่

ตกลงกันเรียบร้อย ทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายต่างสุข สมหวัง และปลาบปลื้มใจเป็นที่สุด

 

บทประพันธ์โดย นิพรรนา

เนื้อหาโดย: Takflim ตากฟิล์ม
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
Takflim ตากฟิล์ม's profile


โพสท์โดย: Takflim ตากฟิล์ม
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
นิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ตั้งกรรมการสอบ ปมไอลอว์ตั้งคำถามเล่มจบ ป.เอกของ "สว.สมชาย" ข้อความคล้ายหลายแหล่งคดีฆ่ๅชำแหละยัดถุงดำ เป็นฝีมือชาวญี่ปุ่นโควิด-19 อีกแล้ว!!!สาวคาซัคสถาน ทนไม่ไหว ทำสัญญาเลิกจากการเป็นทาสอย่างเด็ดขาด (โปรดดูหน้านายทาส รูปสุดท้าย ดูเต็มใจม๊ากมาก)โรงงาน"มดลูกเทียม"แห่งแรกของโลกนศ.จีน พบคู่รักซั่มในโรงอาหาร ตึกฝั่งตรงข้ามจิ้มแบบนี้จะเผ็ดกี่โมงผู้สูงอายุ ที่แท้จริง อายุเริ่มต้นที่เท่าไหร่?"หนุ่ม กรรชัย" ลั่น! ไม่ทะเลาะกับเด็ก แต่ผู้ใหญ่ไม่แน่..หลังต้องอ่านข่าวลัทธิเชื่อมจิต
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
"หนุ่ม กรรชัย" ลั่น! ไม่ทะเลาะกับเด็ก แต่ผู้ใหญ่ไม่แน่..หลังต้องอ่านข่าวลัทธิเชื่อมจิตอากาศร้อนทำราคาไข่พุ่ง เป็ดออกไข่น้อยห้ามพลาด 3 ร้านอาหาร คาเฟ่ หัวหินอิตาลี่ออกกฏ "ห้ามขายพิซซ่า ไอศครีม" หลังเที่ยงคืน
กระทู้อื่นๆในบอร์ด นิยาย เรื่องเล่า
เมื่อหนุ่มทำพัดลมไอเย็นเอง..ว่าแต่มันคลายร้อนได้จริงหรือ ?หากโลกนี้มีเวทมนต์จะเกิดอะไรขึ้นบ้างแมคโดนัลด์เป็นอะไร..ทำไมถึงมีโลโก้กลับหัวสาววิศวะลาออกมาเป็นนักชิม..ตะลุยกินอาหารทั่วประเทศจีน
ตั้งกระทู้ใหม่