น้ำมันหมู กับ น้ำมันพืช อันไหนดีกว่ากัน
คือ ใช้น้ำมันหมู หรือน้ำมันพืชปรุงอาหารดีกว่ากัน และเชื่อว่าหลายท่านก็คงสับสนกันก่อนที่จะเข้าเรื่องน้ำมัน เราควรรู้จักประเภทของไขมันก่อน
ไขมันแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ ไขมันอิ่มตัว กับไขมันไม่อิ่มตัว
- ไขมันอิ่มตัว ส่วนใหญ่เป็นไขมันที่ได้มาจากสัตว์ มีส่วนน้อยที่มาจากพืช เช่น มะพร้าว ปาล์ม
- ไขมันไม่อิ่มตัว ส่วนใหญ่เป็นไขมันที่มาจากพืช มีส่วนน้อยที่มาจากสัตว์ เช่น ปลา
ข้อดีของไขมันอิ่มตัว คือ มีความคงตัวแม้จะโดนความร้อนสูง ไม่กลายเป็นไขมันทรานช์ง่าย ๆ (ไขมันที่ถือว่าแย่ที่สุด) ในขณะที่ไขมันไม่อิ่มตัวมักกลายเป็นไขมันทรานช์เมื่อโดนความร้อนสูง ส่วนข้อเสียคือไขมันอิ่มตัวหากรับประทานมากเกินไปจะทำให้คอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น และมีปัญหาน้ำหนักตัวเพิ่มได้ง่ายเพราะดึงมาเผาผลาญเป็นพลังงานได้ยากกว่าไขมันไม่อิ่มตัว
ในขณะที่ไขมันไม่อิ่มตัว ได้เปรียบเรื่องการเผาผลาญที่ง่ายกว่า แต่ไม่คงตัวเมื่อถูกความร้อนสูง น้ำมันที่ใช้ปรุงอาหารนั้น ประกอบไปด้วยไขมันชนิดอิ่มตัว และไม่อิ่มตัว เป็นสัดส่วนที่ต่างกันไปในแต่ละชนิดน้ำมัน เช่น น้ำมันหมู น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม จะมีสัดส่วนไขมันอิ่มตัวสูง มากกว่า 80% จึงทำให้มีคุณสมบัติทนความร้อนได้ดี เหมาะกับการทอดอาหารที่ต้องใช้ความร้อนสูง และเวลานาน เพราะไม่เปลี่ยนไปเป็นไขมันทรานช์นั่นเอง
ส่วนน้ำมันพืช ส่วนใหญ่จะมีสัดส่วนไขมันไม่อิ่มตัวอยู่สูง จึงเปลี่ยนสภาพเป็นไขมันทรานช์ได้เมื่อนำไปใช้กับการทอด หรือการผัดที่ใช้ไฟแรง ดังนั้นเราจึงควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำมันเหล่านี้ในการทอดอาหาร หรือ การผัดที่ใช้ไฟแรง เช่น น้ำมันมะกอกที่ถือว่าเป็นน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพ ควรรับประทานโดยไม่ผ่านความร้อน เช่น ราดบนสลัดหรือ บนอาหาร จะดีที่สุดทำให้ได้รับคุณค่าจากน้ำมันอย่างเต็มที่
ดังนั้น ทั้งน้ำมันหมูและน้ำมันพืช ก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย ไม่มีอันไหนดีกว่ากัน ขึ้นอยู่กับเราจะใช้ประกอบอาหารลักษณะไหน และรับประทานในปริมาณเท่าไหร่มากกว่า
อย่างไรก็ตาม อาหารส่วนใหญ่ที่ใช้น้ำมันของบ้านเรามักเป็น ของทอด และ ของผัดด้วยไฟแรง
ซึ่งมีโอกาสที่เราจะได้รับไขมันอิ่มตัวมากเกินไปจนเป็นปัญหาสุขภาพได้ การลดของทอด และของผัดลง เน้นรับประทานอาหารต้ม นึ่ง ให้มากขึ้น จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการดูแลสุขภาพในปัจจุบัน