"การบันทึกของประเทศกัมพูชาในอดีต" จากชาวต่างประเทศ ชื่อไมเคิล
"ลองอ่านดูนะครับ การบันทึกของประเทศกัมพูชาในอดีต"
จากชาวต่างประเทศ ชื่อไมเคิล
ตั้งแต่เคยอยู่เขมร สารภาพเรื่องหนึ่งถึงโชคชะตาที่มากำหนดให้ฉันได้พบกับชนกลุ่มน้อยหรือ “ชนกลุ่มเดิม” ตามที่ชาวเขมรเรียกกัน ครั้นเมื่อย้อนช่วงเวลากลับไป อย่างไม่นึกว่าจะมากพอประมาณ ซึ่งบางครั้งก็เดาไม่ออกว่าเป็นเผ่าใด
ตั้งแต่ “ปราว” “กลึง” “จราย” ในรัตนคีรี-มลฑลคีรี, กระวานในโพธิสัตว์ สำเหร่? ชาวกูยในเสียมเรียบที่ฉันไปพบอย่างบังเอิญในป่า
แต่จะเป็นสำเหร่/สำแร หรือกูย? ฉันก็แยกไม่ออกหรอกนะ เพราะมัวแต่ตกตะลึงพรึงเพริดกับสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้า
หากไม่ใช่แต่ฉันฝ่ายเดียวหรอก พวกเขาเองก็มีอาการอย่างเดียวกันสำหรับใน “ชั่วนาที” ตะลึงงันแบบนั้นที่ปราศจากบทสนทนา
ช่างเป็นภาวะที่น่าจดจำ
มติชนสุดสัปดาห์มติชนสุดสัปดาห์
หน้าแรก คอลัมน์ประจำ
คอลัมน์ประจำ
กูคือกูย แล้วมันคืออะไร?
ที่มา มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 7 - 13 ตุลาคม 2559
คอลัมน์ อัญเจียแขฺมร์
เผยแพร่ วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ.2559
ตั้งแต่เคยอยู่เขมร สารภาพเรื่องหนึ่งถึงโชคชะตาที่มากำหนดให้ฉันได้พบกับชนกลุ่มน้อยหรือ “ชนกลุ่มเดิม” ตามที่ชาวเขมรเรียกกัน ครั้นเมื่อย้อนช่วงเวลากลับไป อย่างไม่นึกว่าจะมากพอประมาณ ซึ่งบางครั้งก็เดาไม่ออกว่าเป็นเผ่าใด
ตั้งแต่ “ปราว” “กลึง” “จราย” ในรัตนคีรี-มลฑลคีรี, กระวานในโพธิสัตว์ สำเหร่? ชาวกูยในเสียมเรียบที่ฉันไปพบอย่างบังเอิญในป่า
แต่จะเป็นสำเหร่/สำแร หรือกูย? ฉันก็แยกไม่ออกหรอกนะ เพราะมัวแต่ตกตะลึงพรึงเพริดกับสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้า
หากไม่ใช่แต่ฉันฝ่ายเดียวหรอก พวกเขาเองก็มีอาการอย่างเดียวกันสำหรับใน “ชั่วนาที” ตะลึงงันแบบนั้นที่ปราศจากบทสนทนา
ช่างเป็นภาวะที่น่าจดจำ
แต่โลกของโซเชียลมีเดียเล็กๆ กลับนำพาฉันกลับมาพบกับชนเชียดกูยอีกครั้ง ในนามของหญิงชาวกูยผู้มีชื่อแบบเขมรว่า-นวน มม
เธอเป็นตัวแทนชนกลุ่มน้อยบ้านปรอแม จว.พระวิเ...ยร์ผู้กำลังประสบหายนะจากกลุ่มทุนสัมปทานของรัฐที่บุกรุกทำลายผืนป่าระกา ผืนป่าสมบูรณ์และเป็นเหมือนแหล่งอาหารแห่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ซึ่งเธอและพี่น้องใช้ดำรงชีวิต
แม้จะได้ยินเสียงของมม-หญิงกูยคนแรกในกัมพูชาที่ทำให้ฉันรู้สึกดีใจ
แต่ก็กลับปวดร้าวในเรื่องราวที่รับทราบถึงการเผชิญความยากลำบากอย่างที่ประวัติศาสตร์ยุคหนึ่งของชนเผ่านี้จะมีบันทึก
ทั้งหนักอึ้งและตื้นตัน เมื่อทราบถึงวิถีกูยในกัมพูชาว่าพวกเขายังมีตัวตน กระนั้นก็ลึกไปด้วยความเศร้า
เมื่อทราบว่าพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับหายนะอย่างโดดเดี่ยวกว่าครั้งใด
พลันในจิตรำลึกของฉันต่อประวัติศาสตร์ชนเผ่านี้ ก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
ตั้งแต่แอ่งอารยธรรมเก่ายุคขอมบริเวณเมืองสันตึกราวศตวรรษที่ 15 ซึ่งมีศูนย์กลางที่ปราสาทพระขรรค์กำปงสวายโดยพระบาทหรรฌวรมัน (Hashavarman) พระอัยกาทวดในพระบาทชัยวรมันที่ 7
นอกจาก (อาจ) จะเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ชนชาติที่ร่วมสร้างอารยธรรมก่อนสมัยเมืองพระนคร บริเวณแอ่งอารยธรรมกูยตามหลักฐานจารึกเขมรแล้ว เมืองสันตึกซึ่งเก่าแก่และต่อมาได้ถูกเรียกว่า “กำปงส-ออย” และ “กำปง-สวาย” ในกาลต่อมา ก่อนจะกลายเป็นเมืองกำปงทมในปัจจุบัน
ชาวกำปงทมนั้นมีสำเนียง “เหน่อจัด” และ “เหน่อแรง” และมักจะถูกล้อเลียนจนกลายเป็นที่ขบขันในคนสำเนียงเขมรกลาง
ซึ่งไม่แน่ใจว่า ความเหน่อของกำปงทมนี้ มีที่มาจากพื้นเพที่มีบรรพบุรุษเป็น “ชนชาติเดิม” อย่างเผ่ากูยด้วยหรือไม่?
หากพบว่าชนเชียดกูยนี้ได้ตั้งหลักแหล่งเหนือผืนทะเลสาบไปทางตะวันออกมานานแล้ว ไม่เท่านั้น ยังมีหลักฐานที่พบว่า ชนกูยเดิมในกำปงสวายนี้น่าจะนับถือพุทธศาสนาอีกด้วย ซึ่งหลักฐานบ่งชัดถึงความรุ่งเรืองในพุทธศาสนาของชมชนกูย ณ แอ่งอารยธรรมพระขรรค์กำปงสวายก็คือ ตราพระลัญจกรแห่งวัดกำปงสวายที่สลักเป็นรูปดอกบัวและมีอักษรเขมร “กำปงสวาย” กำกับไว้เบื้องล่าง แล ซูซานน์ คาร์เปเลส์ เป็นผู้ค้นพบและทำบันทึกนี้ไว้ใน พ.ศ.2476
ซึ่งคาดการณ์ว่า อิทธิพลพุทธศาสนานี้น่าจะมีมาตั้งแต่สมัยพระบาทหรรฌวรมันแล้ว แต่มารุ่งเรืองในยุคชัยวรมันที่ 7
หากแต่อิทธิพลของเขมรที่อาศัยแวดล้อมชุมชนทำให้พวกเขาต้องหันมานับถือพุทธไปด้วย แต่ก็เฉพาะในเชิงพิธีกรรมเท่านั้น ดังจะเห็นได้จากที่วัดไพรตอตึง อันเป็นเขตที่มีชุมชนกูยอาศัยอยู่หนาแน่นแห่งหนึ่งในเขตกำปงทมซึ่งพบว่า มีกูยที่บวชเป็นพระสงฆ์และมีผู้นำชุมชนที่ทำหน้าที่เหมือนมัคนายก แต่กระนั้นก็ยังพูดภาษากูย
และการบวชนี้ก็เป็นไปเพื่อทำพิธีกรรมต่างๆ เช่น การตาย เป็นต้น มีการนำศพไปเผาสำหรับกรณีที่พอมีฐานะ ส่วนที่ยากไร้จะนำไปฝัง
ลักษณะดังกล่าวนี้ ยังพบว่ามีกระจายไปยังชุมชนกูยอื่นๆ เช่น ที่หมู่บ้านเวียลแวงในเขตโพธิสัตว์และอำเภอสมบูร์ในจังหวัดกระแจะ
นอกจากจะมีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับราชธานีที่ยิ่งใหญ่แล้ว อาจจะเป็นเรื่องที่ชวนให้ถกเถียงต่อไปอีกว่า
กลุ่มชาติพันธุ์หรือไม่ที่ผลิตอาวุธดาบและเครื่องเหล็กซึ่งเป็นเหมือนตัวประแจยึดชั้นหินในการก่อสร้างองค์ปรางค์ปราสาท
นอกจากนี้ ในบันทึกของ เอเตียง อีโมนีเยร์ ในปี พ.ศ.2440 และ 2444 กล่าวถึงกษัตริย์ขอมที่ได้รับความช่วยเหลือจากกูยในการไปจับช้างเผือกในป่าตัวหนึ่ง บ่งชี้ถึงวิถีชนกูยเผ่าเดิมซึ่งมีถิ่นฐานในป่าที่ราบตอนใต้เทือกเขาดงรัก ซึ่งอุดมไปด้วยช้างป่า/ดำไรจำนวนมาก
ตามความเชื่อของกษัตริย์ขอมนั้น ถือว่าช้างเผือกเป็นสัตว์ในเทพพระศิวะ และมีจารึกเขมรหลักหนึ่งกล่าวถึงกษัตริย์ขอมที่ออกไปจับช้างเผือกในป่า โดยความช่วยเหลือจากชาวกูยทำให้พระองค์ได้เชิญชนป่าผู้นั้นมาเป็นอาคันตุกะ ณ พระราชวังส่วนพระองค์ในเมืองนครทม (Angkor?)
ซึ่งต่อมายังได้รับพระราชทานตราพระลัญจกรซึ่งสลักคำว่า “สังขปุระ” อันบ่งถึงฐานะแห่งความเป็นเจ้าเมือง ดังจะเห็นได้จาก “พระยาสังขะบุรี” ผู้เป็นเจ้าเมืองสังขะปุระ/บุรี โดยใน “ตำนานเหล็กและไฟสมัยเมืองพระนคร” (Les ma?tes du fer et du feu dans le royaume d”Angkor) โดย แบร์นาร์ด ดูเปญจ์ (Bernard Dupaigne) ซึ่งอ้างไว้นั้น ระบุว่า สังขะบุรีเป็นเมืองเก่าของไทย (น.57)
ที่นี้ อาจเป็นหลักฐานว่า กูยชนสังขะบุรีจังหวัดสุรินทร์ อาจมีสัมพันธ์กับกูยเขมรล่าง
อย่างน้อยก็ก่อนพุทธศตวรรษที่ 17 และหลักฐานสำคัญถึงความสัมพันธ์ของกูยที่มีต่อกษัตริย์ขอม โดยมิใช่แต่เป็นข้าทาส แต่เป็นประหนึ่งเหมือนชนชาติผู้ให้การอุปถัมป์ ซึ่งตราพระลัญจกรแบบเดียวกันนี้ ยังมีมาตั้งแต่อดีตคือเมือง (หลวง) กูยซึ่งก็คือเมืองสันตึก/หรือกำปงสวาย
แลเก่าแก่กว่าพระลัญจกรสังขะบุรีเสียอีก
ดังจะเห็นว่านอกจากจะเห็นตราพระลัญจกรแห่งวัดกำปงสวายที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาแล้ว ยังมีพระลัญจกรที่เกี่ยวกับตราประจำเมืองอีกด้วย
โดยตราพระลัญจกรของกำปงสวายนี้สลักเป็นรูปหนุมาน ตามตำนานมหากาพย์รามายาณะหรือเรียมเกร์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของธาตุลม ธาตุน้ำและธาตุไฟที่กษัตริย์ขอมมักทำพิธีบูชาบวงสรวง
และหากตราสัญลักษณ์ดังกล่าวจะบ่งถึงอัตลักษณ์เมืองสันตึกเมืองหลวงกูยแล้ว ก็ชัดเจนถึงความสำคัญของเมืองนี้ที่อุดมไปด้วยแร่เหล็กอันเปรียบเสมือนมหิทธิฤทธาในองค์กษัตริย์ เทวัญ ซึ่งหลักฐานบางอย่างอาจทำให้เชื่อว่า เบื้องหลังของความยิ่งใหญ่แห่งเมืองพระนครและปราสาทหินเหนือทะเลสาบใหญ่นี้ อาจมีที่มาจากบรรพชนชาวกูยแห่งเมืองสันตึก
หรือกำปงสวายนี่เอง
และนี่เองที่ทำให้ฉันรำลึกถึงกูยที่ครั้งหนึ่งฉันเคยไปเยือน และร่วมชมพิธีไหว้ผีประกำพิธีคชศาสตร์การจับช้างของชาวกูยที่จังหวัดสุรินทร์
ครูประกำท่านนี้มีชื่อว่าอะไรฉันก็จำมิได้แล้ว รู้แต่มีศิษย์หนุ่มอยู่คนหนึ่งซึ่งคล้ายจะนุ่งเตี่ยวตามแบบครูประกำ ไม่เพียงแต่การพูดภาษากูย/ส่วยเท่านั้น แต่เขายังแบกเอาบุคลิกเมินเฉยต่อสังคมอื่น ซึ่งทำให้เรายากจะเข้าถึง
บางทีมันอาจจะเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของชนเผ่านี้ที่มีส่วนทำให้ไมเคิล-อเมริกันเชื้อสายฟิลิปปินส์ยอมทิ้งถิ่นฐานเพื่อมาเล่าเรียนศาสตร์วิชาคชศาสตร์และชนกูย ที่กำลังร่วงโรยและใกล้จะสูญพันธุ์
สำหรับฉัน การพบกับไมเคิล คือความรื่นรมย์ของการได้เห็นส่วนผสมระหว่างมิชชันนารีและนักวิจัยด้านมนุษยวิทยาคนสุดท้ายของศตวรรษที่ 20 ที่เต็มไปด้วยการอุทิศตนพร้อมกับลมหายใจแห่งความอุตสาหะ
และมันคือแบบเดียวกันกับที่ฉันจดจำเมื่อพบกูยขะแมร์ในป่ากัมพูชา นั่นคือ ภาวะแห่งความเงียบงันที่ปราศจากบทสนทนา
แต่เป็นความเงียบเดียวที่น่าหลงใหลในอัตลักษณ์ซึ่งหน้าที่เรียบง่ายและชวนให้จำจด
ซึ่งนั่นเอง ที่ทำให้ฉันตระหนักว่า เด็กหนุ่มคนนั้นได้เป็นส่วนหนึ่งของกูยไปแล้ว เขาฝังตัวศึกษาวิถีชาวกูยตอนบนของเทือกเขาพนมดงรักยาวนานต่อมาอีกกว่าค่อนชีวิต มีจริตและประพฤติความเป็นกูยที่ไม่ต้องการหลักฐานพิสูจน์แห่งชาติพันธุ์และอัตลักษณ์
ท่ามกลางกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงที่โถมกัดกลืนความเป็นชาติพันธุ์เก่าแก่ที่ยากจะรักษาวิถีดำรงชีพดั้งเดิมของตนให้รอดพ้นจากอำนาจคุกคามดังเช่นชะตากรรมของพี่น้องกูยแห่งป่าระกาที่กำลังเผชิญชะตากรรม
สำหรับกับกรณีไมเคิลที่ฉันเพิ่งตระหนักว่า บัดนี้ เขาได้สาบสูญไปจากถิ่นที่เคยดำรงความเป็นพรานกูยจับช้างป่า อย่างปราศจากคำบอกเล่าความเป็นไปในเทือกเขาดงรักตอนบนที่เงียบงันมากว่า 2 ทศวรรษ
และสำหรับจิตวิญญาณแห่งการดำรงความเป็นกูยจากป่าผืนดงรักตอนล่าง ซึ่งได้มาถึงยุคสุดท้ายของความพยายามที่จะรักษาจิตวิญญาณแห่งบรรพชนของชาวกูยเขมรต่ำ
บนความยากลำบากของชนเผ่าหนึ่ง
ที่กำลังถูกกลืน
มติชนสุดสัปดาห์มติชนสุดสัปดาห์
หน้าแรก คอลัมน์ประจำ
คอลัมน์ประจำ
กูคือกูย แล้วมันคืออะไร?
ที่มา มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 7 - 13 ตุลาคม 2559
คอลัมน์ อัญเจียแขฺมร์
เผยแพร่ วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ.2559
ตั้งแต่เคยอยู่เขมร สารภาพเรื่องหนึ่งถึงโชคชะตาที่มากำหนดให้ฉันได้พบกับชนกลุ่มน้อยหรือ “ชนกลุ่มเดิม” ตามที่ชาวเขมรเรียกกัน ครั้นเมื่อย้อนช่วงเวลากลับไป อย่างไม่นึกว่าจะมากพอประมาณ ซึ่งบางครั้งก็เดาไม่ออกว่าเป็นเผ่าใด
ตั้งแต่ “ปราว” “กลึง” “จราย” ในรัตนคีรี-มลฑลคีรี, กระวานในโพธิสัตว์ สำเหร่? ชาวกูยในเสียมเรียบที่ฉันไปพบอย่างบังเอิญในป่า
แต่จะเป็นสำเหร่/สำแร หรือกูย? ฉันก็แยกไม่ออกหรอกนะ เพราะมัวแต่ตกตะลึงพรึงเพริดกับสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้า
หากไม่ใช่แต่ฉันฝ่ายเดียวหรอก พวกเขาเองก็มีอาการอย่างเดียวกันสำหรับใน “ชั่วนาที” ตะลึงงันแบบนั้นที่ปราศจากบทสนทนา
ช่างเป็นภาวะที่น่าจดจำ
แต่โลกของโซเชียลมีเดียเล็กๆ กลับนำพาฉันกลับมาพบกับชนเชียดกูยอีกครั้ง ในนามของหญิงชาวกูยผู้มีชื่อแบบเขมรว่า-นวน มม
เธอเป็นตัวแทนชนกลุ่มน้อยบ้านปรอแม จว.พระวิเ...ยร์ผู้กำลังประสบหายนะจากกลุ่มทุนสัมปทานของรัฐที่บุกรุกทำลายผืนป่าระกา ผืนป่าสมบูรณ์และเป็นเหมือนแหล่งอาหารแห่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ซึ่งเธอและพี่น้องใช้ดำรงชีวิต
แม้จะได้ยินเสียงของมม-หญิงกูยคนแรกในกัมพูชาที่ทำให้ฉันรู้สึกดีใจ
แต่ก็กลับปวดร้าวในเรื่องราวที่รับทราบถึงการเผชิญความยากลำบากอย่างที่ประวัติศาสตร์ยุคหนึ่งของชนเผ่านี้จะมีบันทึก
ทั้งหนักอึ้งและตื้นตัน เมื่อทราบถึงวิถีกูยในกัมพูชาว่าพวกเขายังมีตัวตน กระนั้นก็ลึกไปด้วยความเศร้า
เมื่อทราบว่าพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับหายนะอย่างโดดเดี่ยวกว่าครั้งใด
พลันในจิตรำลึกของฉันต่อประวัติศาสตร์ชนเผ่านี้ ก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
ตั้งแต่แอ่งอารยธรรมเก่ายุคขอมบริเวณเมืองสันตึกราวศตวรรษที่ 15 ซึ่งมีศูนย์กลางที่ปราสาทพระขรรค์กำปงสวายโดยพระบาทหรรฌวรมัน (Hashavarman) พระอัยกาทวดในพระบาทชัยวรมันที่ 7
นอกจาก (อาจ) จะเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ชนชาติที่ร่วมสร้างอารยธรรมก่อนสมัยเมืองพระนคร บริเวณแอ่งอารยธรรมกูยตามหลักฐานจารึกเขมรแล้ว เมืองสันตึกซึ่งเก่าแก่และต่อมาได้ถูกเรียกว่า “กำปงส-ออย” และ “กำปง-สวาย” ในกาลต่อมา ก่อนจะกลายเป็นเมืองกำปงทมในปัจจุบัน
ชาวกำปงทมนั้นมีสำเนียง “เหน่อจัด” และ “เหน่อแรง” และมักจะถูกล้อเลียนจนกลายเป็นที่ขบขันในคนสำเนียงเขมรกลาง
ซึ่งไม่แน่ใจว่า ความเหน่อของกำปงทมนี้ มีที่มาจากพื้นเพที่มีบรรพบุรุษเป็น “ชนชาติเดิม” อย่างเผ่ากูยด้วยหรือไม่?
หากพบว่าชนเชียดกูยนี้ได้ตั้งหลักแหล่งเหนือผืนทะเลสาบไปทางตะวันออกมานานแล้ว ไม่เท่านั้น ยังมีหลักฐานที่พบว่า ชนกูยเดิมในกำปงสวายนี้น่าจะนับถือพุทธศาสนาอีกด้วย ซึ่งหลักฐานบ่งชัดถึงความรุ่งเรืองในพุทธศาสนาของชมชนกูย ณ แอ่งอารยธรรมพระขรรค์กำปงสวายก็คือ ตราพระลัญจกรแห่งวัดกำปงสวายที่สลักเป็นรูปดอกบัวและมีอักษรเขมร “กำปงสวาย” กำกับไว้เบื้องล่าง แล ซูซานน์ คาร์เปเลส์ เป็นผู้ค้นพบและทำบันทึกนี้ไว้ใน พ.ศ.2476
ซึ่งคาดการณ์ว่า อิทธิพลพุทธศาสนานี้น่าจะมีมาตั้งแต่สมัยพระบาทหรรฌวรมันแล้ว แต่มารุ่งเรืองในยุคชัยวรมันที่ 7
หากแต่อิทธิพลของเขมรที่อาศัยแวดล้อมชุมชนทำให้พวกเขาต้องหันมานับถือพุทธไปด้วย แต่ก็เฉพาะในเชิงพิธีกรรมเท่านั้น ดังจะเห็นได้จากที่วัดไพรตอตึง อันเป็นเขตที่มีชุมชนกูยอาศัยอยู่หนาแน่นแห่งหนึ่งในเขตกำปงทมซึ่งพบว่า มีกูยที่บวชเป็นพระสงฆ์และมีผู้นำชุมชนที่ทำหน้าที่เหมือนมัคนายก แต่กระนั้นก็ยังพูดภาษากูย
และการบวชนี้ก็เป็นไปเพื่อทำพิธีกรรมต่างๆ เช่น การตาย เป็นต้น มีการนำศพไปเผาสำหรับกรณีที่พอมีฐานะ ส่วนที่ยากไร้จะนำไปฝัง
ลักษณะดังกล่าวนี้ ยังพบว่ามีกระจายไปยังชุมชนกูยอื่นๆ เช่น ที่หมู่บ้านเวียลแวงในเขตโพธิสัตว์และอำเภอสมบูร์ในจังหวัดกระแจะ
นอกจากจะมีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับราชธานีที่ยิ่งใหญ่แล้ว อาจจะเป็นเรื่องที่ชวนให้ถกเถียงต่อไปอีกว่า
กลุ่มชาติพันธุ์หรือไม่ที่ผลิตอาวุธดาบและเครื่องเหล็กซึ่งเป็นเหมือนตัวประแจยึดชั้นหินในการก่อสร้างองค์ปรางค์ปราสาท
นอกจากนี้ ในบันทึกของ เอเตียง อีโมนีเยร์ ในปี พ.ศ.2440 และ 2444 กล่าวถึงกษัตริย์ขอมที่ได้รับความช่วยเหลือจากกูยในการไปจับช้างเผือกในป่าตัวหนึ่ง บ่งชี้ถึงวิถีชนกูยเผ่าเดิมซึ่งมีถิ่นฐานในป่าที่ราบตอนใต้เทือกเขาดงรัก ซึ่งอุดมไปด้วยช้างป่า/ดำไรจำนวนมาก
ตามความเชื่อของกษัตริย์ขอมนั้น ถือว่าช้างเผือกเป็นสัตว์ในเทพพระศิวะ และมีจารึกเขมรหลักหนึ่งกล่าวถึงกษัตริย์ขอมที่ออกไปจับช้างเผือกในป่า โดยความช่วยเหลือจากชาวกูยทำให้พระองค์ได้เชิญชนป่าผู้นั้นมาเป็นอาคันตุกะ ณ พระราชวังส่วนพระองค์ในเมืองนครทม (Angkor?)
ซึ่งต่อมายังได้รับพระราชทานตราพระลัญจกรซึ่งสลักคำว่า “สังขปุระ” อันบ่งถึงฐานะแห่งความเป็นเจ้าเมือง ดังจะเห็นได้จาก “พระยาสังขะบุรี” ผู้เป็นเจ้าเมืองสังขะปุระ/บุรี โดยใน “ตำนานเหล็กและไฟสมัยเมืองพระนคร” (Les ma?tes du fer et du feu dans le royaume d”Angkor) โดย แบร์นาร์ด ดูเปญจ์ (Bernard Dupaigne) ซึ่งอ้างไว้นั้น ระบุว่า สังขะบุรีเป็นเมืองเก่าของไทย (น.57)
ที่นี้ อาจเป็นหลักฐานว่า กูยชนสังขะบุรีจังหวัดสุรินทร์ อาจมีสัมพันธ์กับกูยเขมรล่าง
อย่างน้อยก็ก่อนพุทธศตวรรษที่ 17 และหลักฐานสำคัญถึงความสัมพันธ์ของกูยที่มีต่อกษัตริย์ขอม โดยมิใช่แต่เป็นข้าทาส แต่เป็นประหนึ่งเหมือนชนชาติผู้ให้การอุปถัมป์ ซึ่งตราพระลัญจกรแบบเดียวกันนี้ ยังมีมาตั้งแต่อดีตคือเมือง (หลวง) กูยซึ่งก็คือเมืองสันตึก/หรือกำปงสวาย
แลเก่าแก่กว่าพระลัญจกรสังขะบุรีเสียอีก
ดังจะเห็นว่านอกจากจะเห็นตราพระลัญจกรแห่งวัดกำปงสวายที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาแล้ว ยังมีพระลัญจกรที่เกี่ยวกับตราประจำเมืองอีกด้วย
โดยตราพระลัญจกรของกำปงสวายนี้สลักเป็นรูปหนุมาน ตามตำนานมหากาพย์รามายาณะหรือเรียมเกร์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของธาตุลม ธาตุน้ำและธาตุไฟที่กษัตริย์ขอมมักทำพิธีบูชาบวงสรวง
และหากตราสัญลักษณ์ดังกล่าวจะบ่งถึงอัตลักษณ์เมืองสันตึกเมืองหลวงกูยแล้ว ก็ชัดเจนถึงความสำคัญของเมืองนี้ที่อุดมไปด้วยแร่เหล็กอันเปรียบเสมือนมหิทธิฤทธาในองค์กษัตริย์ เทวัญ ซึ่งหลักฐานบางอย่างอาจทำให้เชื่อว่า เบื้องหลังของความยิ่งใหญ่แห่งเมืองพระนครและปราสาทหินเหนือทะเลสาบใหญ่นี้ อาจมีที่มาจากบรรพชนชาวกูยแห่งเมืองสันตึก
หรือกำปงสวายนี่เอง
และนี่เองที่ทำให้ฉันรำลึกถึงกูยที่ครั้งหนึ่งฉันเคยไปเยือน และร่วมชมพิธีไหว้ผีประกำพิธีคชศาสตร์การจับช้างของชาวกูยที่จังหวัดสุรินทร์
ครูประกำท่านนี้มีชื่อว่าอะไรฉันก็จำมิได้แล้ว รู้แต่มีศิษย์หนุ่มอยู่คนหนึ่งซึ่งคล้ายจะนุ่งเตี่ยวตามแบบครูประกำ ไม่เพียงแต่การพูดภาษากูย/ส่วยเท่านั้น แต่เขายังแบกเอาบุคลิกเมินเฉยต่อสังคมอื่น ซึ่งทำให้เรายากจะเข้าถึง
บางทีมันอาจจะเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของชนเผ่านี้ที่มีส่วนทำให้ไมเคิล-อเมริกันเชื้อสายฟิลิปปินส์ยอมทิ้งถิ่นฐานเพื่อมาเล่าเรียนศาสตร์วิชาคชศาสตร์และชนกูย ที่กำลังร่วงโรยและใกล้จะสูญพันธุ์
สำหรับฉัน การพบกับไมเคิล คือความรื่นรมย์ของการได้เห็นส่วนผสมระหว่างมิชชันนารีและนักวิจัยด้านมนุษยวิทยาคนสุดท้ายของศตวรรษที่ 20 ที่เต็มไปด้วยการอุทิศตนพร้อมกับลมหายใจแห่งความอุตสาหะ
และมันคือแบบเดียวกันกับที่ฉันจดจำเมื่อพบกูยขะแมร์ในป่ากัมพูชา นั่นคือ ภาวะแห่งความเงียบงันที่ปราศจากบทสนทนา
แต่เป็นความเงียบเดียวที่น่าหลงใหลในอัตลักษณ์ซึ่งหน้าที่เรียบง่ายและชวนให้จำจด
ซึ่งนั่นเอง ที่ทำให้ฉันตระหนักว่า เด็กหนุ่มคนนั้นได้เป็นส่วนหนึ่งของกูยไปแล้ว เขาฝังตัวศึกษาวิถีชาวกูยตอนบนของเทือกเขาพนมดงรักยาวนานต่อมาอีกกว่าค่อนชีวิต มีจริตและประพฤติความเป็นกูยที่ไม่ต้องการหลักฐานพิสูจน์แห่งชาติพันธุ์และอัตลักษณ์
ท่ามกลางกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงที่โถมกัดกลืนความเป็นชาติพันธุ์เก่าแก่ที่ยากจะรักษาวิถีดำรงชีพดั้งเดิมของตนให้รอดพ้นจากอำนาจคุกคามดังเช่นชะตากรรมของพี่น้องกูยแห่งป่าระกาที่กำลังเผชิญชะตากรรม
สำหรับกับกรณีไมเคิลที่ฉันเพิ่งตระหนักว่า บัดนี้ เขาได้สาบสูญไปจากถิ่นที่เคยดำรงความเป็นพรานกูยจับช้างป่า อย่างปราศจากคำบอกเล่าความเป็นไปในเทือกเขาดงรักตอนบนที่เงียบงันมากว่า 2 ทศวรรษ
และสำหรับจิตวิญญาณแห่งการดำรงความเป็นกูยจากป่าผืนดงรักตอนล่าง ซึ่งได้มาถึงยุคสุดท้ายของความพยายามที่จะรักษาจิตวิญญาณแห่งบรรพชนของชาวกูยเขมรต่ำ
บนความยากลำบากของชนเผ่าหนึ่ง
ที่กำลังถูกกลืน
อ้างอิงจาก: https://www.facebook.com/groups/862040068215459/permalink/886868835732582/
ภาษาที่ควรเรียนที่สุด ในอีก5ปีข้างหน้า
"ฮุนเซน" เงินหมด ทหาร BHQ คู่ใจทรยศ แอบซบอก "สมรังสี"
แคปซูลกาลเวลา 1,700 ปี การค้นพบหลุมศพโรมันที่ "สมบูรณ์แบบ" ในฮังการี
สมุนไพรต้านอากาศหนาว ดีต่อระบบหายใจ พร้อมสู้ฝุ่น PM2.5
ตรงนี้มีคำตอบคนละครึ่งพลัสเฟส 1 ใช้ไม่หมดสามารถนำไปใช้เฟส 2 ได้หรือไม่
ไต้หวันเผย "จีนส่งเรือรบเข้าปฏิบัติการทางทหารแล้ว"
วิธีป้องกันตะขาบในบ้าน ลดเสี่ยงโดนกัด
สนามแข่ง เบสบอลซีเกมส์สุดไร้คุณภาพบรรยากาศโคตรแย่ เหมือนไม่ใช่การแข่งขันระดับประเทศ นำไปเปรียบเทียบงาน อบต.ก็ยังได้
หม้อต้มแรงดันสูงระเบิด เจ้าของโรงงานขนมจีนเสียชีวิต บาดเจ็บอีก 2 ราย
อะไรคือการรักตัวเอง?
ให้เพลงบำบัดใจ ดนตรีคือยาสมานแผลที่มองไม่เห็น แต่รักษาได้จริง
ชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทย
รู้ทันภัย "ไซยาไนด์" มัจจุราชเงียบใกล้ตัวกว่าที่คิด
ไต้หวันเผย "จีนส่งเรือรบเข้าปฏิบัติการทางทหารแล้ว"
“ดราม่าระอุ! นางงามกัมพูชาสวมชุดไทยขึ้นเวที Miss Cosmo อ้างเป็นของเขมร คนไทยตั้งคำถาม กระทรวงวัฒนธรรมไทยอยู่ไหน?”
เผยชะตาชีวิต "ฮุนเซน"..จุดจบสุดท้ายก็ตายเพราะครอบครัวล้วนๆ
ด่วน! แชทลับ “นัทปง–นาย ก.” โผล่กลางรายการคุณพุทธ ส่อเค้าคดีไซ(ย)ไนด์รอบใหม่ คุณพุทธเปิดแชทไลน์สำคัญของ นัทปง ที่คุยกับ นาย ก. พบข้อความชัดเจนว่า นัทปงกำลังทวง “ไซ(ย)ไนด์”
อะไรคือการรักตัวเอง?



