ปัญหาเศรษฐกิจท่องเที่ยวต้องเจอหลังเปิดรับนักท่องเที่ยว
หลังจากที่ประเทศไทยดีใจกันอย่างหนักกับการที่ประเทศจีนประกาศเปิดประเทศในเดือนมกราคม65 ที่ผ่านมา แน่นอนว่าทุกคนคิดว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวนั้นน่าจะยิ้มหน้าบานไปตามๆ กัน เศรษฐกิจไทยและปากท้องคนไทยนั้นคงจะดีขึ้นจากหน้ามือเป็นหลังมือแล้วแน่ๆใช่มั้ย
จากภาพที่เราได้เห็นในข่าวกับการที่ทางภาครัฐหน้าชื่นตาบานไปกับการเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยของนักท่อเที่ยวจีนกับภาพที่คุ้นตากับการเรียงแถวยืนต้องรับ(อย่างเขิลอาย)พร้อมมอบพวงมาลัยดอกไม้สร้างความประทับใจว่าขนาดผู้ใหญ่ในบ้านเมืองยังลงมาต้อนรับกันขนาดนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าเราอยู่โลกใบเดียวกันหรือป่าว เพราะก่อนหน้านี้รัฐบาลก็ดีใจกับตัวเลขนักท่องเที่ยวที่มีถึง 11 ล้านคน แต่ถ้าเปิดข้อมูลกันจริงๆก่อนปี 2019 เรามีนักท่องเที่ยวมากถึงเกือบ 40ล้านคน. แถมตัวเลขที่เราหลงดีใจ 11 ล้านคนนั้น ก็ไม่ได้ทำรายได้เข้าไทยได้มากตามที่หวังแม้แต่น้อย ข่าวที่ประชาสัมพันธ์ออกมาชั่งย้อนแย้งกับความเป็นจริงที่ภาคธุรกิจท่องเที่ยวเจอจริงๆ
การเข้ามาของนักท่องเที่ยวจีนนั้น อาจจะไม่ได้นำเงินเข้าประเทศไทยของเราแต่กลับเอาเงินเข้ากระเป๋านักลงทุนชาวจีน เพราะจากที่คิดว่านักท่องเที่ยวจีนจะมาเป็นลูกค้าแต่กลับกลายว่ามาเป็นคู่แข่งทางการค้าด้วยซ้ำไป จะเห็นได้อย่างชัดเจนในแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมของชาวจีน ขอยกตัวอย่างง่ายๆ ห้วยขวาง ถ้าลงมาดูตลาดท่องเที่ยว ร้านค้า ร้านของฝาก ร้านนวด ร้านอาหาร บริเวณนั้น เจ้าของเป็นคนจีนที่มีธุรกิจรวมกับคนไทย หรือเรียกง่ายๆว่า คนไทยเราเองเป็นนอมินีของเศรษฐีชาวจีน
แถมร้านพวกนี้จะได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน เพราะพวกเค้าจะได้รับการบริการในรูปแบบคนกันเอง พูดภาษาเดียวกัน วัฒนธรรมเดียวกัน ลดแลกแจกแถมกันแบบนี้เป็นใครใครก็ชอบ แล้วจะเรียกได้ว่าเงินเข้ากระเป๋าใครกันแน่ ลองคิดดู ยังไม่นับกระแสนิยมที่เกิดขึ้นในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีน การที่มาท่องเที่ยวประเทศไทยแล้วได้อุดหนุนร้านรวงต่างๆที่มีชาวจีนเป็นเจ้าของนั้นก็ยังคงเป็นกระแสนิยมเสมอ เพราะ กระแสชาตินิยมของชาวจีนนั้นบอกเลยว่ามีความแข็งแรงเป็นอย่างมาก เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนวิกฤตโควิด-19 ด้วยซ้ำแต่ประเทศไทยก็ยังแก้ปัญหานี้ไม่ได้เสียที เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องควรมีการจัดการกับธุรกิจกลุ่มทุนผิดกฎหมายเหล่านี้ เพราะถ้าประชาชนรู้ ตำรวจจะไม่รู้ได้อย่างไร
ล่าสุดกับเทศกาลวันวาเลนไทน์ ที่ผ่านมา สดๆร้อนๆ เมื่อพูดถึงวาเลนไทน์แน่นอน ปากคลองตลาดคือมุ่งหมายของคู่หนุ่มสาวที่มาจับจ่ายซื้อดอกไม้ให้คนรัก แต่เชื่อหรือไม่ว่าตอนนี้ร้านขายดอกไม้ ที่ตลาดปากคลองนั้น มีทุนจีนที่มีนอมินีไทยซื้อตึกเอง เปิดร้านขายดอกไม้กันโจ๋งครึ่ม นำเข้าดอกกุหลาบจากจีนเอง แถมยังมีขนาดดอกใหญ่กว่าไทยหลายต่อหลายเท่า แถมราคาถูกกว่าอีกด้วย ทำให้ดอกกุหลาบจีนได้รับความนิยมอย่างมาก
โดยส่วนแบ่งทางการตลาดพี่จีนของเราเอาไปแล้ว 60% ส่งผลให้ร้านที่มีเจ้าของเป็นคนไทยนั้น ยอดตกแบบฮวบๆ แบบนี้ไม่รู้ว่าการเปิดรับนักท่องเที่ยวจีนนั้น เป็นการเปิดรับนักท่องเที่ยวหรือนักธุรกิจกันแน่ แต่ธุรกิจที่เอาเงินเข้ากระเป๋าซ้าย กระเป๋าขวาแบบนี้ ไม่ดีต่อเศรษฐกิจไทยอย่างแน่นอน ไม่ใช่หมอดูก็รู้อนาคตอย่างชัดแจ๋ว
ถึงแม้ไทยจะเป็นจุดหมายหลักในการมีเที่ยวและจริงๆมันก็มีบางร้านที่ได้อานิสงค์ตรงนี้อยู่ด้วย แต่ก็เป็นการกระจุกรายได้อยู่กับร้านที่เป็นที่นิยม นักท่องเที่ยวมาเพิ่มจริงแต่ก็เพราะกระแสโซเชี่ยลนี่แหละ ที่ทำให้ร้านต่างๆ ในประเทศไทยบางร้านเป็นที่นิยมของชาวจีนเป็นอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่นร้านข้าวมันไก่เจ้าดังย่านประตูน้ำ มี2 ร้านติดกันขายอาหารเหมือนกันแต่แค่มองที่หน้าร้านเห็นได้ชัดเลยว่า หนึ่งร้านมีแถวที่ยาวมากส่วนอีกร้านไม่มีคิวเลย นั่นแสดงให้เห็นถึงการกระจุกตัวของรายได้ SME ในธุรกิจท่องเที่ยวนั่นไม่ได้ดีขึ้นทุกที่แม้จะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามา เพราะรายได้นั้นมาไม่ถึงพวกเขา ไม่มีใครไปเสียเวลาลองชิม ลองชอป ร้านที่ไม่เป็นกระแส แล้วจาดเทรนด์โซเชียลแนวแบ็คแพ็ค หรือสตรีทฟู๊ตมาแรง กระทั่งเซเลปดาราก็ยังทิ้งภาพการเดินทางท่องเที่ยวแบบไฮโซ ช้อปปิ้งแบรนด์เนมหรูในดิวตี้ฟรี หรือพักโรงแรมระดับ 5 ดาว มาเดินเล่นสู้ชีวิตกันตามตลาด
หากฟังมาแบบนี้ว่าน่าเห็นใจธุรกิจท่องเที่ยวของไทยเองแล้วยังคงมีอีกเรื่องที่เราพบเห็นได้บ่อยมาก กับการที่ชาวจีนมาเที่ยวประเทศไทย และซื้อสินค้าจากร้านที่มีชาวจีนเป็นเจ้าของธุรกิจ และไลฟ์สดขายสินค้านั้นๆ เพื่อส่งไปยังประเทศจีน บอกเลยว่าเม็ดเงินที่เข้ากระเป๋าประเทศไทยจริงๆ น้อยมาก
สุดท้ายถ้ารัฐบาลยังไม่ลงมาดูแลส่วนนี้ การปล่อยให้กลุ่มทุนจีนเข้ามามีผลต่อเศรษฐกิจท่องเที่ยวนั้นไม่เป็นผลดีอย่างแน่นอน(หรือจะมีส่วนได้เสียกันแน่นะเลยทำเบลอๆไป) ทั้งที่ประชาชนตาดำๆอย่างเรายังมองเห็นชัดเจนมาก ถ้ารัฐบาลยังหลับหูหลับตากันต่อไป ธุรกิจท่องเที่ยวของเราคงไม่มีทางกลับมานำเงินเข้าประเทศเหมือนเดิมได้อย่างแน่นอน อีกอย่างควรเอาเวลากับการหลงตื่นเต้นไปกับตัวเลขของนักท่องเที่ยวที่มาเพิ่มขึ้นแต่ก็ยังน้อยอยู่ดี ลงมาช่วยเหลือเยียวยาธุรกิจท่องเที่ยวกันดีกว่ามั้ย เพราะลืมไปหรือป่าวว่า ธุรกิจที่ปิดตัวไปกว่า 3 ปี ขาดสภาพคล่องอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็น ห้างร้าน โรงแรม ดิวตี้ฟรี สายการบิน กลุ่มธุรกิจSME รายย่อยๆในตอนนี้พวกเค้าเหลือเงินในกระเป๋าเพื่อดำเนินธุรกิจต่อหรือไม่ เพราะเท่าที่ผ่านมาเห็นแต่การประโคมข่าวเรื่องจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ โดยข่าวจำนวนเงินใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวที่ลดลงนั้น กลับไม่มีการนำเสนอ หรือเพราะท่านๆไม่กล้าเผชิญความจริงกันนะ
เมื่อมันย้อนแย่งกันขนาดนี้ รัฐบาลก็ยังไม่มีโครงการช่วยเหลือเยียวยาธุรกิจท่องเที่ยวเลย ได้แต่หวังว่ารัฐบาลใหม่จะมองเห็นจุดนี้หรือจะเป็นวังวนที่ประชาชนเห็นภาครัฐไม่เห็น ซ้ำรอยแบบนี้ไปอีกหรือไม่ คงต้องติดตาม ตอนนี้ได้แต่นั่งถอนใจกันแล้ว...