ฟังให้ชัด ความจริงเรื่อง ควบรวม ทรู+ดีแทค
การรวมกิจการระหว่างทรูและดีแทคมีความชัดเจนมากขึ้น หลังจากที่ประชุมคณะกรรมการของทั้งสองบริษัท มีมติร่วมกันจัดตั้งและจดทะเบียนบริษัทใหม่ โดยใช้ชื่อว่า บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) วันนี้เราได้รวบรวมประเด็นที่ถูกถกกันมากที่สุด เพื่อมาหาความจริงกัน
ชื่อบริษัทใหม่
ประเด็นการตั้งชื่อบริษัทใหม่ โดยใช้ชื่อ “ทรู คอร์ปอเรชั่น” มีสื่อนำไปพาดหัว สร้างความเข้าใจผิดให้เกิดขึ้นว่า จะไม่มี “ดีแทค” อีกต่อไป
แต่ในความเป็นจริง จากแถลงการณ์ของ “ทรู และ “ดีแทค” ก็คือ คณะกรรมการของทั้งสองบริษัทเห็นพ้องต้องกันให้ใช้ชื่อบริษัทที่จะจดทะเบียนจัดตั้งใหม่ว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่น” เนื่องจากทรูมีบริการที่หลากหลาย ในขณะที่ดีแทคมีเพียงบริการเครือข่ายสัญญาณมือถืออย่างเดียว ทรูจึงเป็นที่รู้จักในวงกว้างกว่า ซึ่งทั้งแบรนด์ “ทรู และ แบรนด์ “ดีแทค” ก็จะยังคงแยกกันให้บริการลูกค้าของตนเองเหมือนเดิม ไม่ได้มีการยุบแบรนด์แต่อย่างใด ยังคงเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภค และยังสามารถแข่งขันในตลาดโทรคมนาคมต่อไป ซึ่งการใช้ชื่อเดิมที่มีอยู่แล้ว มาเป็นชื่อบริษัทใหม่สามารถทำได้ตามกฎหมาย
การรวมคลื่น
มีสื่อยกประเด็นมาตรการเฉพาะของกสทช. หลังเคาะดีลทรู-ดีแทค ที่ห้ามสองบริษัทรวมคลื่นกัน ซึ่งมาตรการดังกล่าวระบุว่า “การถือครองคลื่นความถี่ บริษัท TUC และบริษัท DTN จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับใช้งานคลื่นความถี่ในการประกอบกิจการโทรคมนาคมอย่างเคร่งครัด” ซึ่ง พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ ระบุว่า “ใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เป็นสิทธิเฉพาะตัวจะโอนแก่กันมิได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจาก กสทช. และเสียค่าธรรมเนียมการโอน” ดังนั้น การที่ดีแทคประชาสัมพันธ์ว่าคลื่นจะเพิ่มขึ้น ครอบคลุมมากขึ้น ก็เป็นการทำให้ลูกค้าของทั้งสองบริษัทเข้าใจผิดว่า รวมคลื่นกันได้ รวมแล้วจะมีคลื่นความถี่มากขึ้น เพราะขัดแย้งกับมาตรการเฉพาะของกสทช. และผิดต่อกฎหมายจัดสรรคลื่นความถี่ หรือไม่
เรื่องนี้มีคำอธิบายจากผู้เชี่ยวชาญด้านโทรคมนาคม สืบศักดิ์ สืบภักดี ว่า กฎหมายอาจจะยังรวมคลื่นความถี่ไม่ได้ แต่ในทางเทคนิค การใช้คลื่นร่วมกันเกิดขึ้นได้ เพราะโทรศัพท์เคลื่อนที่สามารถจับสัญญาณของผู้ให้บริการรายอื่นได้ถ้ามีข้อตกลงอนุญาตให้ใช้ได้ มีเคสของบริษัทเอไอเอส กับบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) ที่มีข้อตกลงในการใช้คลื่น 2100 เมกะเฮิรตซ์ ทั้งสองบริษัทไม่ได้ควบรวมกันได้ ในทางเทคนิคเอไอเอสจึงมีคลื่น 2100 เมกะเฮิรตซ์ 1 ผืน ขนาด15 เมกะเฮิรตซ์ รวมกับอีก 1 ผืนของ NT จำนวน 15 เมกะเฮิรตซ์ รวมกันแล้วเอไอเอสมีคลื่น 2100 เมกะเฮิรตซ์ อยู่ที่ 30 เมกะเฮิรตซ์ ดังนั้นถึงแม้ดีแทคกับทรูไม่ได้รวมกิจการกัน แต่ถ้าทั้งสองฝ่ายทำข้อตกลงให้ใช้คลื่นร่วมกันได้ ก็ใช้คลื่นได้ ธรรมชาติของโทรศัพท์มือถือออกแบบมาให้สามารถสลับใช้คลื่นความถี่ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ได้
นอกจากนี้ พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ ระบุว่า “ใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เป็นสิทธิเฉพาะตัวจะโอนแก่กันมิได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจาก กสทช. และเสียค่าธรรมเนียมการโอน” นั่นหมายความว่า กฎหมายไม่ได้ห้ามการโอนอย่างเด็ดขาด แต่ให้กสทช. อนุญาตได้ โดยจ่ายค่าธรรมเนียมการโอน ไม่ได้ปิดประตูตายสำหรับการรวมคลื่น
ผูกขาด การแข่งขัน
สำหรับประเด็นการผูกขาดตลาดหรือผูกขาดการแข่งขันในตลาดโทรคมนาคมหลังการรวมกิจการนั้น หากมองในแง่ของการถือครองตลาด (ยกมากล่าวเฉพาะ 3 รายแรก) จำนวนลูกค้าล่าสุด ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2565 จะพบว่า เบอร์ 1 เอไอเอส มีลูกค้า 45.7 ล้านเลขหมาย ขณะที่เบอร์ 2 ทรู มี 33.6 ล้านเลขหมาย ส่วนเบอร์ 3 ดีแทค ถืออยู่ 21.1 ล้านเลขหมาย จะเห็นได้ว่า อันดับหนึ่งเอไอเอส ทิ้งห่างอันดับสองทรู อยู่ 12.1 ล้านเลขหมาย (45.7 – 33.6 = 12.1) และห่างจากอันดับสามดีแทค 24.6 ล้านเลขหมาย (45.7 – 21.1 = 24.6) ถือว่าเยอะมาก
แต่เมื่อ ทรูรวมกับดีแทค จะมีจำนวลูกค้ารวมกัน = 54.7 ล้านเลขหมาย (33.6 + 21.1 = 54.7) ห่างจาก เอไอเอสเพียง 9 ล้านเลขหมาย (54.7 – 45.7 = 9) น้อยกว่าสถานการณ์ในปัจจุบัน
ดังนั้น ถ้าจะมองว่าการรวมกันของทรูและดีแทค จะทำให้ตลาดเกิดการผูกขาด ลดการแข่งขัน จึงไม่น่าจะใกล้เคียงความจริง สถานการณ์ปัจจุบันดูเหมือนจะใกล้เคียงมากกว่าด้วยซ้ำ การรวมกันจึงเป็นการเพิ่มพลังให้ทรูและดีแทคขยับขึ้นมาใกล้เคียงเอไอเอสมากขึ้นกว่าการแยกกันอยู่ ที่สู้กันแทบไม่ได้เลย และหากมองในแง่ของการแข่งขัน ขณะที่กระบวนการรวมกิจการยังไม่เสร็จสิ้น ก็จะเห็นการช่วงชิงจังหวะและโอกาสเพื่อแย่งชิงลูกค้าจากเอไอเอสได้เกิดขึ้นอย่างเข้มข้นกว่าเดิม (ถึงขนาดออกแคมเปญย้ายค่ายแบบไม่เกรงใจกันเลย) เป็นนัยของการบอกว่าต่อไปการแข่งขันตลาดจะยิ่งหนักหน่วงขึ้น ไม่ใช่จะลดการแข่งขันลงไปเลย
ผู้ถือหุ้นใหญ่
สื่อการเงินรายหนึ่งให้ข้อมูลการรวมกิจการผิดพลาด จากการอ่านตัวเลขแค่บรรทัดแรกกับบรรทัดที่สอง ปล่อยข่าวว่า ผู้ถือหุ้นใหญ่ในทรูคือไชน่าโมบาย (China Mobile) ไม่ใช่ซีพี
ความจริงจากข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ฯ และข้อมูลบนเว็บไซต์ของทรู ระบุชัดว่า ไชน่าโมบาย ถือหุ้นทั้งหมด 18% ส่วนบริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด และบริษัทอื่น ๆ ในเครือเจริญโภคภัณฑ์ ถือหุ้นรวมกันทั้งหมด 49.99% คำตอบอยู่ในตัวไม่ต้องอธิบายอะไรต่อ
การเสพข่าวจากสื่อ แม้จะเป็นสื่อหัวใหญ่ สรุปความให้ในบรรทัดเดียว แต่ไม่ได้หมายความว่าข้อมูลนั้นจะถูกต้องเชื่อถือได้ทั้งหมด ผู้เสพข้อมูลอย่างเราต้องคิดตามและพิจารณาข้อมูลตามหลักฐานความเป็นจริงก่อนจะเชื่อ เพื่อจะได้ไม่หลงเป็นเหยื่อข้อมูลเท็จ ที่เขาสรุปให้สั้น ๆ แค่บรรทัดเดียว
รูปจาก: กลุ่มเทคโนโลยีบ้านเรา








