หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม แต่งรูป คำคม Glitter สเปซ ไดอารี่ เกมถอดรหัสภาพ เกม วิดีโอ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

เปรตพลี-เทวดาพลี การบวงสรวงเซ่นไหว้ในอารยธรรมพุทธ

เปรตพลี-เทวดาพลี การบวงสรวงเซ่นไหว้ในอารยธรรมพุทธ

ตามหลักโดยเนื้อแท้แต่ดั้งเดิมแล้ว อารยธรรมพุทธไม่ใช่ทั้งเทวนิยม รึ อเทวนิยม แต่เป็น จริยนิยม คือ การเคารพนับถือกันที่ความประพฤติ หากเป็นความประพฤติที่มีประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นใครรึอะไรก็สามารถนับถือได้ ด้วยเหตุนี้ตามสังคมที่รับอารยธรรมพุทธเข้าไปต่อยอดจึงมีการเคารพนับถือที่หลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นเทพ วีรชนบุคคลสำคัญ รึแม้แต่ตัวละครตามมหากาพย์วรรณกรรมเรื่องเล่าต่างๆ ฯลฯ หากมีความประพฤติที่เป็นประโยชน์ก็สามารถเคารพนับถือได้ทั้งสิ้น ต่อให้เป็นบุคลาธิษฐานที่ถูกสร้างขึ้นมาจากความประพฤติที่ดีรึเป็นประโยชน์หลายอย่างรวมกันก็สามารถเคารพได้ เพราะถือว่าเป็นการเคารพที่ความประพฤติป็นหลักไม่ใช่ตัวตนรึตัวบุคคล สังคมที่มีอารยธรรมพุทธเข้าไปต่อยอดจึงอุดมไปด้วยเทพท้องถิ่นเป็นจำนวนมาก บางแห่งก็มีจำนวนมหาศาล แต่ขณะเดียวกันอารยธรรมพุทธก็ได้จำแนกรูปแบบการอุทิศส่วนบุญเอาไว้อย่างเป็นระบบชัดเจนเช่นกัน

อาหารของแต่ละภพภูมิมีอะไรบ้าง?

อาหารของสัตว์นรก คือ กรรมที่สัตว์เสวยในนรกนั้น จัดเป็นอฐานะ(อัฏฐานะ) ผลทานที่มีผู้ทำให้ไม่สำเร็จ เพราะไม่อยู่ในฐานะผู้รับผลทานที่ใครๆ อุทิศให้ได้

อาหารของสัตว์ดิรัจฉาน คือ หญ้า ใบไม้ เป็นต้น จัดเป็นอฐานะ(อัฏฐานะ) ผลทานที่มีผู้ทำให้ไม่สำเร็จ เพราะไม่อยู่ในฐานะผู้รับผลทานที่ใครๆ อุทิศให้ได้

ส่วนขยายเพิ่มเติม
อาหารของนกยูง ละเอียดกว่าอาหารของจระเข้ เพราะพวกจระเข้ฮุบก้อนหินเข้าไป และก้อนหินเหล่านั้นพอตกถึงท้องของจระเข้ก็ย่อมละลายหมดไป ส่วนพวกนกยูงจิกกินสัตว์มีชีวิต เช่น งูและแมงป่อง เป็นต้น
อาหารของพวกหมาใน ละเอียดกว่าอาหารของนกยูง เพราะพวกหมาในแทะเขาและกระดูกสัตว์ที่ทิ้งไว้ตั้ง ๓ ปีได้ ก็เขาและกระดูกสัตว์เหล่านั้นพอแต่เปียกน้ำลายของพวกมัน ก็ยุ่ยเหมือนเหง้ามัน
อาหารของพวกช้างละเอียด กว่าอาหารของหมาใน เพราะพวกช้างกินกิ่งไม้นานาชนิด
อาหารของสัตว์ทั้งหลาย เช่นโคลาน ระมาด และมฤคเป็นต้น ละเอียดกว่าอาหารช้าง เพราะพวกมันกินใบไม้นานาชนิดที่ไม่แข็ง ไม่มีแก่น
อาหารของพวกโค ละเอียดกว่าอาหารของโคลาน เป็นต้น เพราะพวกโคกินหญ้าสดและหญ้าแห้ง
อาหารของกระต่าย ละเอียดกว่าอาหารของโค
อาหารของพวกนก ละเอียดกว่าอาหารของพวกกระต่าย

อาหารของมนุษย์ คือ ข้าวสุก ขนมสด เป็นต้น จัดเป็นอฐานะ(อัฏฐานะ) ผลทานที่มีผู้ทำให้ไม่สำเร็จ เพราะไม่อยู่ในฐานะผู้รับผลทานที่ใครๆ อุทิศให้ได้

ส่วนขยายเพิ่มเติม
อาหารของชาวชายแดน ละเอียดกว่าอาหารของพวกนก
อาหารของนายอำเภอ (เจ้าเมือง) ละเอียดกว่าอาหารของชาวชายแดน
อาหารของพระราชาและมหาอำมาตย์ของพระราชา ละเอียดกว่าอาหารของนายอำเภอ (เจ้าเมือง)
พระกระยาหารของพระเจ้าจักรพรรดิ ละเอียดกว่าอาหารของคนเหล่านั้น

อาหารของทวยเทพ คือ สุทธาโภชนะอาหารทิพย์ เป็นต้น จัดเป็นอฐานะ(อัฏฐานะ) ผลทานที่มีผู้ทำให้ไม่สำเร็จ เพราะไม่อยู่ในฐานะผู้รับผลทานที่ใครๆ อุทิศให้ได้

ส่วนขยายเพิ่มเติม
อาหารของเหล่าภุมมเทวดา ละเอียดกว่าพระกระยาหารของพระเจ้าจักรพรรดิ
อาหารของเหล่าเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา ละเอียดกว่าอาหารของเหล่าภุมมเทวดา
ฯลฯ

อนึ่ง แม้อาหารหลักของเทวดาแต่ละภพภูมิ จะเรียกว่า สุทธาโภชนะ ซึ่งเป็นอาหารทิพย์ที่มีความละเอียดแตกต่างกันไปในแต่ละชั้นภพภูมิ ทว่า ก็มีบันทึกเรื่องอาหารในแหล่งอื่นที่เทวดาสามารถรับได้ด้วย เช่น
กุณฑกปูวชาดก บันทึกว่ารุกขเทวดาโพธิสัตว์ประจำต้นระหุ่งรับขนมรำจากชายผู้ยากเข็ญเป็นเครื่องเซ่นโดยบริโภคเฉพาะส่วนของโอชา(ไม่บริโภคส่วนของวัตถุ)

ส่วนใน อุปสิงฆปุปผชาดก และ ปทุมปุบผสูตร ก็กล่าวถึงรุกขเทวดาทั้งชายหญิงที่ทักท้วงฤๅษีกับภิกษุซึ่งสูดดมกลิ่นของดอกบัวในสระของพวกตนว่าเป็นผู้ขโมยกลิ่น

จากทั้ง ๒ กรณีนี้ วิเคราะห์ได้ว่า กลิ่นหอมของดอกไม้และอาหาร คือ โอชา ที่เทวดาสามารถบริโภคได้นอกเหนือจากสุทธาโภชนะ และเป็นเครื่องบริโภคที่พวกเทวดาสามารถหากินเองเมื่อไหร่ตอนไหนเวลาใดก็ได้ตามสะดวก สถานะของพวกเทวดา จึงไม่ใช่ฝ่ายที่ต้องรอรับเครื่องเซ่นที่มนุษย์อุทิศให้ แต่เป็นผู้กำหนดเลือกเอาเองว่าจะรับรึไม่รับเครื่องเซ่นจากใครบ้าง และถึงไม่บริโภคโอชาจากเครื่องเซ่นที่มนุษย์พลีกรรมให้ พวกเทวดาก็ยังมีสุทธาโภชนะให้กินอยู่ดี ไม่เดือดร้อนเรื่องอาหารเลย เทวดาจึงถูกนับให้อยู่ในกลุ่ม อฐานะ คือ ไม่อยู่ในฐานะ"ผู้รับ"ผลทานที่ใครๆ อุทิศให้ แต่อยู่ในฐานะ"ผู้เลือก"ผลทานที่ใครๆ อุทิศให้

อาหารของปรทัตตูปชีวีเปรต คือ โอชาจากน้ำลาย น้ำมูก เป็นต้น รวมถึงอาหารที่ต้องอาศัยผู้อื่นอุทิศให้ จัดเป็นฐานะ ผลทานที่มีผู้ทำให้สำเร็จ เพราะอยู่ในฐานะผู้รับผลทานที่ใครๆ สามารถอุทิศให้ได้

ในเปตวิสัย(โลกของเปรต) ไม่มีกสิกรรม (การทำไร่ไถนารึทำการเกษตร) ไม่มีโครักขกรรม (การเลี้ยงวัวรึทำปศุสัตว์) ไม่มีพาณิชกรรม (การค้าขาย) การแลกเปลี่ยนซื้อขายด้วยเงินก็ไม่มี ผู้ที่ไปเกิดเป็นปรทัตตูปชีวีเปรต ดำรงชีพด้วยผลทานที่พวกญาติอุทิศให้จากมนุษยโลก

ในบรรดาเปรตที่อารยธรรมพุทธจำแนกไว้ ปรทัตตูปชีวีเปรตจัดเป็นเปรตเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้นที่สามารถรับอาหารจากการอุทิศให้ของมนุษย์ได้ ทว่า ก็ไม่ใช่ปรทัตตูปชีวีเปรตทั้งหมดจะได้รับอาหารที่มนุษย์อุทิศให้ เพราะตนไหนมีกำลังมาก ก็เข้าถึงเครื่องเซ่นได้ก่อน ตนไหนกำลังน้อย กว่าจะไปถึงเครื่องเซ่นก็ไม่ทันการต้องอดกินไป และพวกปรทัตตูปชีวีเปรตกำลังน้อยนี้ หากไม่ได้รับเครื่องเซ่นที่มนุษย์อุทิศให้ก็ต้องหาอย่างอื่นกินแทนเพื่อรักษาชีวิต ซึ่งกลุ่มอาหารที่อยู่นอกเหนือจากการอุทิศให้ของมนุษย์ก็คือโอชาจากกลิ่นของสิ่งปฏิกูลทั้งหลาย เช่น น้ำลาย น้ำมูก เสมหะที่ถูกถ่มทิ้งบ้าง มันเหลวของซากศพที่ถูกเผาตามเชิงตะกอนบ้าง เลือดของหญิงที่คลอดบุตรบ้าง เลือดของคนที่มีแผลและผู้ที่ถูกตัดจมูกและศีรษะบ้าง หนัง เนื้อ เอ็น เป็นต้น ตามร่างกาย(ซากศพ?)ทั้งชายหญิงบ้าง หนองและเลือดของปศุสัตว์และมนุษย์ทั้งหลายบ้าง ซึ่งปรทัตตูปชีวีเปรตอดอยากกลุ่มนี้หากได้รับเครื่องเซ่นส่วนบุญที่มนุษย์ช่วยอุทิศให้ก็จะมีกำลังมากขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ ไม่ต้องทนเที่ยวเร่ร่อนขวนขวายหากินโอชาจากสิ่งปฏิกูลทั้งหลายอีกต่อไป

ทว่า ในหมู่ปรทัตตูปชีวีเปรตเอง ก็ยังมีบางกลุ่มที่มากอิทธิฤทธิ์ ซึ่งพวกนี้เรียกว่า เวมานิกเปรต รึ วิมานเปรต อันหมายถึงเปรตที่มีทิพยวิมานเป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งกลุ่มของพระยายม ก็คือ พระยาเวมานิกเปรต ประเภทหนึ่งเช่นกัน และมีบันทึกว่า พระยายายมสามารถรับส่วนบุญที่มนุษย์อุทิศให้ได้
หญิงเวมานิกเปรตบางตนมีทิพยวิมานสวยงามอยู่บนโลกมนุษย์ แต่ไร้อาภรณ์สวมใส่ต้องเปลือยกายหลบหน้าอยู่ในวิมานไม่กล้าให้ใครพบเห็น แต่เมื่อได้รับส่วนบุญที่อุทิศให้อย่างถูกต้องโดยมนุษย์ที่มีความถึงพร้อมจริง นางเวมานิกเปรตนั้นก็ได้รับทิพยอาภรณ์ไว้สวมใส่แบบฉับพลันทันที
เวมานิกเปรตบางประเภทก็มีฤทธิ์เดช มีทิพยวิมาน มีรูปงามเหมือนเทวดา และไม่มีส่วนของวิบากกรรมใดๆ ให้ต้องชดใช้เลย เป็นเหมือนเทวดาแทบทุกอย่าง แค่มีภพภูมิและสถานภาพต่ำกว่าเทวดาเท่านั้น ทิพยวิมานที่พวกนี้มีก็ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวในแดนมนุษย์รึแดนหิมพานต์เท่านั้น ไม่ใช่สวรรค์ชั้นภูมิไหน

พิธีเซ่นไหว้ผีไร้ญาติ จึงถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อการนี้ คือ เป็นการอุทิศส่วนบุญให้บรรดาปรทัตตูปชีวีเปรตที่มีกำลังน้อย เข้าถึงเครื่องเซ่นได้ยาก ในบางวัฒนธรรมจึงนิยมจัดพิธีนี้ในช่วงบ่ายซึ่งอยู่หลังพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่จัดในช่วงเช้า เป็นเหมือนการเก็บตกอีกทีหนึ่ง

โอชา คืออะไร?

กวฬิงกราหาร(กพฬีการาหาร) คือ อาหารที่บริโภคเพื่อใช้ค้ำชูสังขารร่างกายไม่ให้เสื่อมสลายก่อนเวลาอันควร มีองค์ประกอบ ๒ ส่วน ได้แก่

๑ วัตถุ คือ ส่วนของอาหารที่ใช้บรรเทาความหิว(ความกระวนกระวาย)ได้ แต่ไม่สามารถรักษาชีวิตไว้ได้

๒ โอชา คือ ส่วนของอาหารที่รักษาชีวิตไว้ได้ แต่ไม่สามารถบรรเทาความหิว(ความกระวนกระวาย)ได้

ทั้ง ๒ อย่างนี้รวมกันจึงสามารถบรรเทาความหิว(ความกระวนกระวาย) และรักษาชีวิตได้

อาหารใดมีวัตถุที่ละเอียดต่ำ(คือ หยาบ) โอชาก็น้อยและมีกำลังอ่อน อาหารใดมีวัตถุที่ละเอียดสูง โอชาก็มากและมีกำลังสูง
ผู้ที่ดื่มข้าวยาคูแม้เต็มบาตรหนึ่ง ครู่เดียวเท่านั้นก็หิว อยากกินอะไรๆ อยู่นั่นแหละ ส่วนผู้ที่ดื่มเนยใสเพียงฟายมือหนึ่ง ก็ไม่อยากกินตลอดวัน อยู่ได้ทั้งวัน

วัตถุของข้าวยาคูบรรเทาความหิวได้ ทว่าไม่สามารถหล่อเลี้ยงชีวิตได้ โอชาของเนยใสหล่อเลี้ยงชีวิตได้ แต่ก็ไม่สามารถบรรเทาความหิวได้ เมื่อข้าวยาคูและเนยใสทั้ง ๒ อย่างรวมกันเข้าแล้วย่อมบรรเทาความหิวและหล่อเลี้ยงชีวิตได้

สรุปโดยย่อ วัตถุ คือ ส่วนที่ช่วยทำให้รู้สึกอิ่มท้อง โอชา คือ ส่วนของพลังงานที่ช่วยให้มีกำลังวังชา การบริโภคของที่มีแต่วัตถุเพียงส่วนเดียว อาจช่วยให้อิ่มท้องได้ แต่ก็ไร้ซึ่งพลังงานทำให้หมดเรี่ยวแรงและกำลังวังชาไม่สามารถทำกิจกรรมใดๆ ได้

เปรตพลี-เทวดาพลี

จากข้อมูลข้างต้นนี้ อารยธรรมพุทธได้จำแนกโอชาออกเป็น ๒ กลุ่มด้วยกัน คือ

๑โอชาที่พวกเทวดาบริโภค ได้แก่ กลิ่นหอมของพวกพืช อย่าง ดอก ใบ ผล รึกลิ่นของขนมที่ทำจากแป้ง
๒โอชาที่พวกเปรตบริโภค ได้แก่ กลิ่นเหม็นเน่าและกลิ่นสาบจากสิ่งปฏิกูลทั้งหลาย ตลอดจนกลิ่นคาวของเลือดและเนื้อซากศพสิ่งมีชีวิตต่างๆ และอาหารชนิดต่างๆ แล้วแต่ผู้อื่นจะช่วยจอุทิศให้

นัยหนึ่ง การที่อารยธรรมพุทธจำแนกไว้ว่า พวกเทวดามีกลิ่นหอมของพืชพรรณเป็นภักษาหาร มีความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมการเพาะปลูก เพราะเมื่ออารยธรรมพุทธเผยแพร่เข้าไปในสังคมใดๆ ผู้คนในสังคมนั้นๆ ก็คงเริ่มเอะใจสงสัยกันขึ้นมาบ้างว่า สิ่งที่พวกตนนำมาใช้เซ่นไหว้บวงสรวงกันมันเป็นการเลี้ยงเทวดารึเลี้ยงเปรตกันแน่ และเมื่อเริ่มตระหนักรู้ขึ้นแล้ว รูปแบบพิธีกรรมการเซ่นไหว้ก็จะเริ่มปรับเปลี่ยนไป มีการใช้พืชเข้ามาเป็นส่วนประกอบในพิธีกรรมมากขึ้น ช่วยยกระดับสังคมให้กลายเป็นวัฒนธรรมการเพาะปลูก พัฒนารูปแบบพิธีกรรมไปในทางที่ดีขึ้น เสียเลือดเสียเนื้อกันน้อยลงตามระดับความตระหนักรู้ของแต่ละสังคม

จะกล่าวว่าอารยธรรมพุทธสามารถช่วยพัฒนายกระดับสังคมจากวัฒนธรรมการเร่ร่อนล่าสัตว์มาเป็นวัฒนธรรมการเพาะปลูกแบบก้าวกระโดดเลยก็คงได้ เพราะของที่ใช้เซ่นไหว้ก็คือของชนิดเดียวกันกับที่พวกตนกินกันนั่นล่ะ สังคมใดประสงค์จะรับเอาอารยธรรมพุทธไว้ต่อยอด จัดพิธีเซ่นไหว้ในแบบพุทธ ก็จำเป็นต้องมีพืชผลทางการเกษตรเอาไว้เป็นเครื่องเซ่น สังคมที่เป็นวัฒนธรรมเร่ร่อนล่าสัตว์มาก่อนก็ต้องปรับตัวพัฒนามาเป็นสังคมเกษตร เพราะเมื่อจำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้น ลำพังแค่การเก็บพืชผลตามป่าเขาก็ไม่เพียงพออีกต่อไป จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณผลผลิตด้วยการเพาะปลูกเพื่อเก็บเกี่ยวไว้แบ่งกินแบ่งใช้ตามโอกาสอละพิธีกรรมต่างๆ แต่การที่สังคมใดจะพัฒนามาถึงจุดเปลี่ยนทางวัฒนธรรมตรงนี้ได้ ก็คงต้องย้ำอีกครั้งว่า สังคมนั้นๆ จะต้องศึกษาอารยธรรมพุทธแบบองค์รวมจนปัญญาตกผลึกมองเห็นความสัมพันธ์ที่เป็นภาพรวม เกิดความตระหนักรู้กันให้ได้ก่อน

พิธีบวงสรวงเซ่นไหว้ที่มีอวัยวะและเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบ ขัดต่อหลักพลีกรรมของอารยธรรมพุทธรึไม่?

ตามข้อมูลที่รวบรวมมานี้ จะสังเกตได้ว่า เครื่องเซ่นที่ใช้ในการบวงสรวงพลีกรรมแก่เทวดา จะเป็นสิ่งที่มีกลิ่นหอมตามธรรมชาติ เช่น ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ และของขบเคี้ยวของบริโภค เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถหาได้จากพืชเป็นหลัก การเซ่นไหว้เทวดาจึงไม่จำเป็นต้องใช้อวัยวะรึเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบเลย ทว่า หากพิจารณากันจริงๆ ในฐานะของมนุษย์ผู้ทำพิธีพลีกรรมเซ่นไหว้นั้น จะมีซักกี่คนที่รู้ว่า บุคคลรึสิ่งที่ตนกำลังจะพลีกรรมถวายเครื่องเซ่นให้นั้นเป็นเทวดาจริงๆ รึเป็นปรทัตตูปชีวีเปรต? ยิ่งถ้าเป็นปุถุชนคนธรรมดาที่ไม่มีทั้งญาณวิเศษรึอำนาจตาทิพย์ใดๆ เป็นเครื่องช่วยพิจารณาตัดสิน จะสามารถมั่นใจในสถานภาพของอีกฝ่ายได้อย่างไร?

ดังนั้น เมื่อไม่มีหลักประกันใดๆ มาช่วยรับรองว่า ผู้มารับเครื่องเซ่นที่อุทิศให้อยู่ในสถานภาพแบบใดกันแน่ การจัดเครื่องเซ่นที่มีความครอบคลุมหลากหลายประกอบไปด้วยดอกไม้ ผลไม้ เครื่องหอมต่างๆ รวมไปถึงอาหารคาวหวานทั้งขนม และเนื้อสัตว์ ก็นับเป็นการเตรียมพร้อมเผื่อเหลือเผื่อขาดอย่างหนึ่ง รอบคอบเอาไว้ก่อนไม่ประมาท

อนึ่ง การจำแนกในทางพุทธ จะมีการเรียงลำดับเสมอ ถ้าไม่เรียงจากน้อยไปหามากรึมากไปหาน้อย ก็จะเป็นการเรียงจากสูงไปต่ำรึต่ำไปสูง เรียงจากดีไปแย่รึแย่ไปดี ฯลฯ ดังนั้น ในการจำแนก ฐานะ-อฐานะ เรื่องอาหารของแต่ละภพภูมินั้น การเรียงลำดับให้สัตว์นรกคือพวกอฐานะที่ต่ำสุด และเทวดาคือพวกอฐานะที่สูงสุด อยู่ใกล้เคียงกับปรทัตตูปชีวีเปรตที่เป็นพวกฐานะ สามารถรับพลีกรรมส่วนบุญจากการอุทิศให้ได้ แสดงให้เห็นว่า ความเป็นอฐานะของพวกเทวดา ไม่ใช่ข้อจำกัดรึข้อห้าม แต่เป็นทางเลือกที่พวกเทวดาสามารถกำหนดเอาเองได้อย่างอิสระ อาหารจากเครื่องเซ่นส่วนบุญที่อุทิศให้ เป็นเพียงตัวเลือกอีกทางหนึ่งของพวกเทวดาเท่านั้น จะเลือกรับรึไม่รับก็ย่อมได้

เนื้อหาโดย: นาคเฝ้าคัมภีร์
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
นาคเฝ้าคัมภีร์'s profile


โพสท์โดย: นาคเฝ้าคัมภีร์
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
ผบช.สอท. เด้ง ตำรวจ 2 นาย หลัง "ทนายตั้ม" แฉพาดพิงรับส่วย ตั้งกรรมการสอบ ยัน สอท. ไม่ใช่แหล่งรายได้ปรี๊ดเลย! "ครูไพบูลย์" โดนแซวว่าเล็ก..โต้กลับทันที "ผมเล็กหรือคุณโบ๋" กันแน่ยลโฉมความงดงามของนครวัดก๊อปเกรดเอจากฝีมือจีน อลังการไม่แพ้นครวัดของกัมพูชา!ลุงเปิดพัดลมคลายร้อนทั้งวันทั้งคืน จนช็อตไฟไหม้บ้านทั้งหลัง 🥺นักข่าวปาเลสไตน์โพสต์รูป ทหารอิสราเอลถือธงชาติไทยรถไฟเหาะที่เร็วสุดในโลก! ประกาศปิดถาวร หลังมีคนกระดูกคอหักหลายราย"ลิซ่า" จะเดบิวต์เป็นดาวติ๊กต๊อก..แต่กลับโดนแซะว่าเลียนแบบ "กามิน"สตรีมเมอร์ผิวสีสุดห้าว ทำคอนเทนต์เตะเก้าอี้ที่พัทยาเผยโฉมหน้า "แบงค์" ที่ "เจ๊ปิ่น ทรงหิว" เต๊าะจนสำเร็จ..งานนี้ไม่หิวอีกต่อไปแล้ว!
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
ปรี๊ดเลย! "ครูไพบูลย์" โดนแซวว่าเล็ก..โต้กลับทันที "ผมเล็กหรือคุณโบ๋" กันแน่ยิ้มอ่อนกับเขมรรายวัน : เสี่ยโบ๊ต แห่งค่ายเพชรยินดี รับฟังความเห็นบนโลก Social ของไทย ยกเลิกการส่งนักมวยไทยชั้นดี ไปต่อยงานใหญ่กุนขแมร์แล้ว....สิ่งก่อสร้างที่มีความสูงมากที่สุดในโลก ที่ไม่ใช่ตึกระฟ้าหรืออาคารที่อยู่อาศัย
กระทู้อื่นๆในบอร์ด นิทานพื้นบ้าน-วรรณคดี
รูปแบบจำลอง งาช้างฉัททันต์พระเจ้าอุเทนถูกจับกินนร ๓ เผ่าพันธุ์จากพระไตรปิฎกรัศมีรอบศีรษะนาค
ตั้งกระทู้ใหม่