ทำนาแบบเปียกสลับแห้งคืออะไร
โดยวิธีการปลูกเปียกสลับแห้ง หรือ อีกชื่อเรียกว่าวิธีการแกล้งข้าว
ในการทำนาข้าวแบบดั้งเดิมนั้นหนึ่งฤดูการเพาะปลูกจะใช้น้ำประมาณ 700 -1,500 มิลลิเมตร ดังนั้นเทคนิคการจัดการน้ำแบบเปียกสลับแห้ง สามารถประหยัดน้ำได้ประมาณ 30% -50% ลดปัญหานาหล่ม ป้องกันเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลเนื่องจากความชื้นที่โคนกอข้าวต่ำ และกระตุ้นการออกรากของข้าว ซึ่งวิธีการนี้เหมาะสำหรับนาในเขตชลประทานที่สามารถควบคุมน้ำซึ่งสุพรรณมีน้ำหลากเพราะเป็นพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำและเหมาะกับการเพาะปลูกเป็นข้อได้เปรียบตรงนี้มาก มีการจัดการพื้นที่ มีสระน้ำที่สามารถหมุนเวียนน้ำในพื้นที่ได้
โดยใช้อุปกรณ์คือ ท่อพีวีซีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 4 นิ้ว ความสูง 25 เซนติเมตร เจาะรูจำนวน 40 รู โดยการปลูกจะนำท่อดูน้ำไปฝังในแปลงนาที่มีพื้นเรียบ โดยให้ปากท่อพ้นผิวดินประมาณ 5 เซนติเมตรหลังจากนั้นเอาดินภายในท่อออกให้หมด จะสังเกตเห็นว่าระดับน้ำภายในท่อและภายนอกท่อเท่ากันเทคนิคสำหรับการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง คือ การขังน้ำในแปลงนาที่ระดับความลึก 5 เซนติเมตรในช่วงหลังจากการปักดำ จนกระทั่งข้าวเริ่มตั้งท้องและออกดอกจะต้องทำการเพิ่มระดับน้ำในแปลงนา ซึ่งการปล่อยข้าวขาดน้ำหรือแกล้งข้าวมีด้วยกัน
2 ช่วง คือ
- ช่วงข้าวอายุประมาณ 35-40 วัน เป็นเวลา 14 วันหรือจนกว่าดินในแปลงนาแตกระแหง แล้วจึงปล่อยน้ำเข้านา
- ช่วงข้าวอายุประมาณ 50 – 60 วัน เป็นเวลา 14 วันหรือจนกว่าดินในแปลงนาแตกระแหง แล้วจึงปล่อยน้ำเข้านา
ซึ่งการปล่อยหน้าดินให้แตกระแหงในช่วงที่ต้นข้าวเจริญเติบโตนั้น ช่วยให้ข้าวได้รับแสงแดดอย่างเพียงพอ รากข้าวจะได้รับออกซิเจนเพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดรากใหม่เพิ่มขึ้น แต่การทำนาแบบเปียกสลับแห้งนี้มีข้อควรระวังคือในช่วงข้าวตั้งท้อง ห้ามปล่อยน้ำให้แห้งเด็ดขาด และไม่เหมาะสมสำหรับพื้นที่ในการปลูกข้าวที่เป็นดินทรายและดินเค็ม โดยกิจกรรมการเพาะปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง จะเห็นได้ว่าการปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้งนี้เหมาะสำหรับสถานการณ์ภัยแล้งในปัจจุบันเนื่องจากวิธีการนี้เป็นการเพาะปลูกข้าวโดยสามารถบริหารจัดการน้ำที่มีอยู่ให้เพียงพอต่อความต้องการของต้นข้าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกษตรกรยังสามารถลดต้นทุนในการผลิตได้อีกด้วย
สอดรับกับ นายเสมอกัน เที่ยงธรรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขต 4 พรรคชาติไทยพัฒนา จังหวัดสุพรรณบุรี ที่ออกมาขานรับในประเด็นดังกล่าว อีกทั้งมีโพสต์ในเฟสบุ๊คส่วนตัวและแฟนเพจถึงเรื่องการปลูกแบบเปียกสลับแห้งในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาอีกด้วย
นับว่าประเด็นนนี้น่าติดตามมากครับและน่าต่อยอดให้ภูมิภาคอื่นๆหรือหน่วยงานทางการเกษตรนำไปออกเป็นวาระหรือส่งเสริมให้ชาวบ้านในพื้นที่ร่วมกันทำเชื่อว่าประโยชน์สูงสุดไม่ไปไหนนอกจากตัวเกษตรกรเองครับ