ความเชื่อโบราณ : แม่ย่านาง
วันนี้แอดนำเรื่องความเชื่อเรื่องหนึ่งที่เชื่อว่าคนไทยหลายๆคนอาจจะรู้จักหรือได้ยินกันมาบ้าง แต่แอดเชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่หรือคุณตาคุณยายตารู้จักและเชื่อเกี่ยวกับเรื่องนี้กันดี มันเป็นเรื่องที่อยู่คู่มากับรถยนต์หรือคู่กับยานพาหนะที่หลายๆคนอาจจะเคยรู้จักกันมา ในครั้งนี้แอดได้นำเรื่องของ “แม่ย่านาง” มาให้ทุกคนได้อ่านกันว่า แม่ย่านางคืออะไรแล้วทำไมถึงต้องคู่อยู่กับยานพาหนะต่างๆ หรือทำไมต้องมีความเชื่อเรื่องของแม่ย่านางกันแน่ ถ้าอยากรู้เกี่ยวกับความเชื่อเรื่องแม่ย่านางแล้วหล่ะก็ ขอให้ตั้งใจอ่านกันนะครับ เชื่อว่าทุกคนจะได้รู้และสามารถนำเรื่องนี้ไปเล่าต่อกันได้ บรื้อ….
หากพูดถึงเรื่องราวของแม่ย่านางนั้น ใครหลายๆคนอาจจะเคยได้ยินจากปากของผู้ใหญ่หรือคนรอบตัวที่เขามักจะพูดกันว่า รถคันนี้นั้นมีแม่ย่านางอยู่นะ ยานพาหนะคันนี้นั้นต้องมีแม่ย่านางอยู่เป็นอย่างแน่ๆ แต่มีใครรู้ไหมว่าประวัติที่แท้จริงของแม่ย่านางคืออะไรกันแน่ ซึ่งประวัติของแม่ย่านางนั้นก็ต้องย้อนกลับไปเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ในช่วงสมัยนั้นรถยนต์หรือยานพาหนะลำใหญ่ๆยังไม่มีกันหรอก คนสมัยก่อนนั้นมักจะเดินทางกันด้วยเรือที่เดินทางข้ามแม่น้ำเพื่อที่จะไปตามสถานที่ต่างๆ หรือบางทีก็จะเป็นม้าที่คอยเป็นสิ่งที่นำเราไปสู่สถานที่ต่างๆด้วยเช่นกัน หรือแม้กระทั่งวัวเกวียนก็ถูกใช้เพื่อให้เป็นยานพาหนะในสมัยก่อนด้วยเช่นกัน
โดยการทำเรือในสมัยก่อนนั้นไม่ได้ทำง่ายหรือทำมาจากพาสติกหรือวัสดุที่คงทนเหมือนปัจจุบัน โดยการทำเรือในสมัยก่อนนั้นพูดคนต้องทำเรือด้วยตัวเองและด้วยวัสดุที่หาได้ตามท้องถิ่น โดยคนในสมัยก่อนนั้นถ้าพวกเขาต้องการที่จะสร้างเรือสักลำขึ้นมานั้น พวกเขาต้องเดินเท้าเข้าไปในป่าลึกหรือสถานที่ที่มีต้นไม้เพื่อที่จะเข้าไปหาต้นไม้ใหญ่กัน และถ้าหากพวกเขาเจอต้นไม้ขนาดใหญ่พอที่จะสร้างเรือแล้ว พวกเขาก็จะโค่นต้นไม้เหล่านั้นและขุดเพื่อที่จะทำให้เป็นเรือ และในสมัยก่อนนั้นพวกเขาก็มีความเชื่อกันว่าต้นไม้ในป่าลึกหรือต้นไม้ขนาดใหญ่นั้นทุกต้นจะมีนางไม้ประจำอยู่ที่แต่ละต้น พอเราไปโค่นต้นไม้มาทำเป็นเรือแล้วนั้น แน่นอนว่าคนเราต้องหาที่เพิ่งทางใจ ในเมื่อต้นไม้มีนางไม้แล้ว แล้วเราเอาเขามาทำเป็นพาหนะทางน้ำแล้ว เราก็ต้องมีแม่ย่านางที่มีไว้เพื่อที่จะปกปักษ์รักษาเราในทุกครั้งที่เราออกเดินทางไปไหนมาไหนนั่นเอง
ซึ่งในการทำอะไรแบบนี้ก็ต้องมีการทำพิธีที่ถูกต้อง ในการที่จะอันเชิญแม่ย่านางเข้ามาสู่ภายในเรือหรือยานพาหนะของเรานั่นเอง ในการทำพิธีนั้นต้องมีส่วนประกอบคือการต้องมีไก่ เหล้าขาว ขนมต้มสุก ขนมของหวาน อาทิเช่น ทองหยิบทองหยอด ฝอยทอง ดอกไม้และธูปทั้งหมด 9 ดอก พอเตรียมของเสร็จก็ต้องจุดธูปเพื่อที่จะอันเชิญแม่ย่านางมาสิงสถิตเข้าสู่พาหนะนั้นๆ และที่สำคัญคนที่อันเชิญนั้นก็ต้องตั้งชื่อด้วย (ถ้าหากใครที่เคยได้ดูการแข่งเรือยาว ก็จะสังเกตได้ว่าในเรือแต่ละลำนั้นก็จะมีชื่อที่แตกต่างกันไป หรือนั่นก็คือชื่อของแม่ย่านางนั่นเอง หรือหากใครสังเกตเครื่องบินในปัจจุบันนั้น เครื่องบินแต่ละลำก็จะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันไปด้วยเช่นกัน) ซึ่งชื่อที่ตั้งให้กับยานพาหนะนั้นก็ต้องห้ามซ้ำกันด้วย นี่ก็คือประวัติส่วนหนึ่งของแม่ย่านางสมัยก่อน ซึ่งคนเขาก็จะเอาผ้าสามสีมาผูกเอาไว้ที่ตรงบริเวณหัวเรือ
ซึ่งในปัจจุบันรถยนต์ก็เริ่มมีกันแล้วเพราะรถยนต์ก็ถือว่าเป็นพาหนะชนิดหนึ่งด้วยเช่นกัน แม้กระทั่งเครื่องบินก็ต้องมีแม่ย่านางอาศัยอยู่ด้วยเช่นกัน และแน่นอนว่าเครื่องบินแต่ละลำก็ต้องมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันไปเขียนเอาไว้กำกับอยู่ และถ้าเครื่องบินลำนั้นปลดประจำการก็จะต้องทำพิธีการเพื่อที่จะอันเชิญแม่ย่านางลงจากเครื่องบินด้วย และก็ต้องตั้งศาลไปให้ท่านด้วยเช่นกัน
ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องของแม่ย่านางนั้นเป็นเรื่องที่มาคู่กับคนไทยมาช้านาน และคิดว่าหลายๆบ้านก็ต่างรู้จักเกี่ยวกับเรื่องแม่ย่านางกันอย่างดี ถ้าจะสังเกตก็คือสามารถสังเกตได้ว่าตรงตามไฟแดงที่มีคนขายพวงมาลัยต่างๆ อันละ20-30 บาทนั้น ก็เพื่อที่จะให้เราเอาไปคล้องไว้ตรงบริเวณหน้ารถ เพื่อที่จะเป็นการไหว้แม่ย่านางให้คุ้มครองรถคันนี้รวมไปถึงคุ้มครองเราให้ขับรถปลอดภัยด้วยเช่นกัน อย่างน้อยการมีแม่ย่านางอยู่ประจำรถนั้นก็เพื่อที่จะสร้างความสบายใจ หากเราต้องไปไหนมาไหน เราก็จะมีแม่ย่านางคอยดูแลเราตลอดการขับรถ โดยบางคนทุกครั้งที่ขึ้นรถ ก็จะมีการไหว้ขอพรจากแม่ย่านางให้วันนี้ขับรถปลอดภัย รอดจากทุกๆเรื่อง ไม่มีเรื่องร้ายต่างๆเกิดขึ้นมาในชีวิต เป็นดั่งที่เพิ่งทางใจที่แท้จริง
แต่ในปัจจุบันนั้นความเชื่อเหล่านี้ก็เริ่มน้อยลงไปตามกาลเวลา ก็มียังมีคนเชื่อเรื่องนี้อยู่แต่น้อยลงไปแล้ว บางคนที่ไม่เชื่อก็ต่างคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ โดยพวกเขาเหล่านั้นก็มักจะทำอะไรไม่ดีภายในรถกัน ซึ่งก็เป็นสิ่งที่แม่ย่านางไม่ชอบ และก็จะมีเรื่องร้ายๆตามมาในภายหลัง เช่นอาจจะขับรถแล้วรถลงไปข้างทางโดยไม่รู้ตัว อาจจะเกิดการบังตาได้เพราะเราทำอะไรผิดไปนั่นเอง…