ยิ่งเก่งมากเท่าไหร่ โลกยิ่งไม่ต้องการคุณ
"ยิ่งคุณมีความสามารถมากเท่าไหร่ พื้นที่ที่จะให้คุณยืนบนโลกนี้ก็แคบลงเรื่อย ๆ"
ประโยคนี้ฉันไม่เคยเชื่อมันเลย
จนกระทั่งมีคนมาบอกฉัน ในวันที่ฉันล้มแบบไม่เป็นท่า
ในวันแรกที่ฉันเข้าไปทำงาน วันแรกที่ไปรายงานตัว มีภารโรงบอกกับพ่อแม่ฉันว่า "อยู่ที่นี่อย่าเด่นมาก เดี๋ยวจะอยู่ยาก"
เมื่อพ่อมาเล่าให้ฟัง ฉันได้แต่พูดว่า ไม่หรอก มันคงเป็นเรื่องตลกที่คนพูดคงข่มขวัญเราไปอย่างนั้น
ฉันไม่เคยเชื่อมันจนเกือบจะลืมๆ มันไป และในวันที่การงานฉันตกต่ำเพราะโดนคนใกล้ตัวหักหลัง คำพูดนี้มันก็ดังลั่นขึ้นมาในหัว ชนิดที่ฉันแทบจะทนฟังเสียงมันไม่ได้ แต่ในที่สุด ฉันก็เข้าใจมันอย่างแท้จริง
ขอเล่าย้อนไปหน่อยแล้วกัน
เมื่อฉันเค้าไปทำงานตั้งแต่วันแรกมาจนถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมา ฉันตั้งใจทำงานมาตลอด แบกงานไว้กับตัวเอง ฉันทุ่มเท ฉันพยายาม ไม่ได้สนใจว่าตัวเองจะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน ฉันเพียงพยายามทำมันให้สำเร็จ และถ้าฉันพยายามเต็มที่แล้ว ผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไงฉันไม่สนใจ ถ้ามันออกมาดีฉันก็ภูมิใจ ถ้ามันออกมาแย่ฉันก็พร้อมจะปรับปรุง แต่ก็นะ เหนือความพยายามทั้งหมดมันก็ยังแพ้คำว่าพวกพ้องอยู่ดี
ทุกคนรอบตัวฉันใช้ชีวิตกันไปเรื่อยๆ ไม่กดดัน ไม่ทุ่มเท แต่เค้ามีเพื่อนที่คอยซัพพอร์ตส่วนฉันผิดที่คิดต่าง ฉันต้องทำงานร่วมกับชาวต่างชาติ
ฉันต้องกลับบ้านเร็วเพราะบ้านอยู่ไกล กลับดึกไม่ได้ มีสังคมในที่ทำงานแค่บางครั้งบางคราวที่ฉันว่าง เพราะงานที่ฉันได้รับ มันกดดัน และมันกดฉันไว้ให้ฉันจมอยู่กับงาน เวลาพักแทบไม่มี งานทุกอย่างของฉันมีกำหนดส่งโน่นนี่นั่น ถ้าฉันไม่ทำ มันคงส่งผลกระทบต่อใครหลาย ๆ คน นี่แหละคือเหตุผลที่ฉันไม่มีปาร์ตี้หลังเลิกงาน มีเวลาเข้าสังคมน้อย
กานทำงานของฉันปีแรกมันออกมาได้ดีเกินคาด ผลงานไปถึงระดับชาติ นั่นแหละเป็นที่มาของความปั่นป่วนในชีวิต
ในวันที่ผลงานของฉันมันเติบโต ฉันก็ต้องผ่านความอิจฉาริษยาแบบนับไม่ถ้วน โดนพูดกระทบ พูดกระแซะจนฉันรู้สึกว่า คนเล่านั้นคนว่างมากเกินไป หรือไม่มีอะไรทำ แต่ก็นะ ฉันก็ไม่สนใจ ตั้งใจทำทุกงานอย่างเต็มที่ มาจนมีผลงานไประดับชาติได้ทุกปี แต่ปริมาณคนเกลียดฉันก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แบบที่ฉันงงจนไม่รู้ว่าตัวเองไปทำอะไรให้ใคร ทุกคนเกลียดฉันเพราะอะไร แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจ เพราะฉันคิดว่างานก็คืองาน ฉันต้องรับผิดชอบหน้าที่ตัวเอง รับผิดชอบครอบครัว ตราบใดที่ฉันไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ฉันก็จะทำ มันไปเรื่อยๆ
แต่สุดท้าย เพราะความพยายามทำดีที่สุดของฉัน มันก็ทำให้ฉันมีที่ยืนน้อยลงเรื่อยๆ หลายๆ คนในที่ทำงานพยายามปิดกั้นความสามารถของฉัน พยายามกีดขวางข้อมูลทุกอย่าง ที่ฉันจะต้องใช้ทำงานไม่ให้ฉันรู้ ทุกผลงานของฉัน ถูกปิดเงียบไม่ค่อยมีใครสนใจ ไม่มีใครนำเสนอ เกียรติบัตรที่ฉันได้รางวัลที่ 1 กลับโดนจับวางไว้ด้านหลังสุด แล้วหยิบที่สามขึ้นมาแทน ฉันงงมาก งงมากจริงๆ
สุดท้ายจนมาถึงวันที่ฉันล้ม เพราะมีคนหักหลัง ฉันก็เข้าใจทันทีว่า การเป็นคนพยายามตั้งใจกับอะไรเกินไป มันอยู่ยาก มันมีแต่คนอิจฉาริษยา พยายามทำให้เราล้มอยู่ตลอด ขัดแข้งขัดขาเราจนเดินไม่ได้ ฉันเข้าใจแล้ว ว่างานต่อให้ฉันทำแทบตาย สุดท้ายมันก็ไม่ได้ส่งผลดีกับฉันเลย ความสบายใจต่างหากที่ฉันควรจะไขว่ขว้ามัน
วันนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า ถ้าเก่งผิดที่ ชีวิตมีแต่ฉิบหาย
หวังว่าทุกคนจะไม่ซวยเหมือนฉัน






