ถ้าเธอติดส้มตำ อาจจะทำให้เราเลิกกันได้นะ
แค่จั่วหัวมาก็อาจจะเกิดคำถามว่า แค่กินส้มตำนี่ถึงกับขอเลิกเลยเหรอ มันมีปัญหาขนาดนั้นเลยเหรอ มันเกินไปมั้ย งงเหมือนกันนะเนี่ย เรื่องของเรื่องเกิดในรายการ “How to รัก” ของพี่อ้อย มีผู้ชายคนนึงเขียนอีเมลล์เข้ามาหาพี่อ้อย เล่าเรื่องราวของตนกับแฟน เขาบอกว่า
“ผมไม่ชอบกลิ่นมะละกอ แต่แฟนเป็นคนชอบทานส้มตำมาก กินแทบทุกวัน ถ้าไปทานอาหารนอกบ้านแล้วเธอสั่งส้มตำมา เธอก็จะพยายามเอามันให้ห่างจากผม หรือถ้าเธอซื้อส้มตำมากินที่ห้อง เธอจะไปกินที่ระเบียง”
เขาเล่าต่อว่า “ผมรู้ว่าเธอพยายามปรับให้ผมมาก ผมเข้าใจ แต่หลังจากทานส้มตำ กลิ่นของมันก็ยังอยู่ ยิ่งเป็นกลิ่นปากของเธอ ยิ่งชัดเจน เพราะเวลาที่เธอเข้าใกล้ผม มาพูดกับผมมันเวียนหัวมาก จากคนที่ไม่เคยดมยาดมก็ต้องดมถึงขั้นติด กลิ่นแรงจนปวดเบ้าตา”
“ผมพยายามพาเธอไปกินอาหารแนวอื่นก็แล้ว หรือสั่งอาหารมากินล่วงหน้า เพื่อกันไม่ให้เธอกินส้มตำ แต่สุดท้ายเธอก็สั่งส้มตำมากินเพิ่มมื้อนั้นอยู่ดี” ฮาโรย
“หลัง ๆ มันทำให้ผมอคติกับส้มตำไปเลย บางครั้งผมต้องแกล้งหยิบลูกอมมาทาน และแกล้งส่งให้เธอ แต่มันก็ช่วยได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น บางครั้งผมก็บอกว่ามีพริกติดฟัน ให้ไปแปรงฟัน ผมพยายามหาข้ออ้างมากมาย เพื่อช่วยให้ผมอยู่ร่วมกับเธอได้”
“ ผมรักเธอนะครับ อยากอยู่ร่วมกับเหมือนคู่รักคนอื่น แต่ผมไม่กล้าบอกเธอ เพราะกลัวเธออาย หรือไม่ก็โกรธผมไปเลย ” และเค้าก็ขอคำเนะนำจากพี่อ้อย ว่าจะมีวิธีไหนที่จะพูดกับเธอ โดยที่ทำให้เธอไม่โกรธ
จากข้อความแอดเข้าใจผู้ชายนะคะ เค้าคงรักผู้หญิงมาก ไม่อย่างงั้นไม่ทนขนาดนี้หรอก จะพูดก็กลัวแฟนจะเสียหน้า เสียความมั่นใจ ไม่พูดก็เหมือนทำร้ายตัวเองไปเรื่อย ๆ เอาจริง ๆ กลิ่นส้มตำมันแรงจริง ๆ นะคุณขา ตอนแอดกินก็ยังรู้สึกไม่มั่นใจ ไม่กล้าเข้าใกล้คนอื่น จนกว่าได้แปรงฟันก่อน เพราะมันเป็นกลิ่นกระเทียมนำงะ บอกเลยว่ากลิ่นไม่ค่อยรัญจวนหรอก
แต่จะบอกว่า ถ้าไม่พูดกับเขาตรง ๆ เขาจะไม่มีวันรู้เลยค่ะ แอดยังเชื่อเสมอว่า คู่รักที่คุยกันได้ ปรับจูนกันได้ เข้าใจกันแบบไม่มีอคติ จะอยู่กันได้ยืนยาว ดีกว่าการเงียบและยอม และต้องค่อย ๆ พูด ค่อย ๆ ปรับ อย่ามีอารมณ์เหวี่ยงมาแฝง ถ้าแอดเป็นผู้หญิง และรู้ว่าผู้ชายที่ตัวเองรักต้องรู้สึกทรมานแบบนี้ ก็คงรู้สึกไม่ดีเหมือนกัน เพราะฉะนั้นค่อย ๆบอกเธอดีที่สุด เพื่อน ๆ มีความเห็นยังไงกันบ้าง คอมมเม้นต์บอกได้นะคะ