แอบรักลุงข้างบ้าน ตอน6
ตอนที่ 6
บ้านน้อยกลางฝน
รุ้งขวัญไม่ได้มาเที่ยวเล่นและกวนประสาทคุณลุงเป็นเวลาหลายอาทิตย์ เพราะติดกิจกรรมรับน้องใหม่ ที่ทำให้เธอหมดเรี่ยวแรงและหลับเป็นตายทุกครั้งเมื่อหัวถึงหมอน
เมื่อวิถีชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยเริ่มกลับเข้าสู่การเรียนการสอนตามปกติ เธอจึงแวะเวียนมาที่นี่อีกครั้งโดยเส้นทางเดิม แต่นึกแปลกใจที่สายจนป่านนี้แล้ว คุณลุงยังไม่ยอมออกมารดน้ำแปลงผักที่เคยทำเป็นประจำเหมือนเช่นเคย
เธออ้อมไปหาที่บ้านและต้องตกใจกับภาพของชายสูงวัยที่นอนฟุบคว่ำหน้าคาประตู ท่าทางเหมือนกำลังคลานออกมาจากห้อง
“คุณลุงคะคุณลุง! คุณลุงเป็นอะไรไป?” วิ่งเข้าไปประคองเพื่อนบ้านนอนหงาย
“คุณหนู ลุง...ปวด...ท้อง...โอย...”
“ปวดท้องหรือคะ เป็นอะไรมากหรือเปล่า?”
เขาไม่ตอบ ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดเหมือนทรมานมาก เหงื่อซึมตามหน้าผาก เอามือกุมหน้าท้องของตนไว้ตลอด
“คุณลุงอดทนหน่อยนะคะ เดี๋ยวหนูจะพาไปโรงพยาบาล”
สาวน้อยวิ่งหน้าตาตื่นเข้าทางประตูหน้าบ้าน และตรงดิ่งขึ้นไปยังห้องนอนของตน หยิบโทรศัพท์มือถือหาเบอร์แท็กซี่ที่เคยบันทึกไว้เผื่อฉุกเฉิน แล้วคว้ากระเป๋าสตางค์กับกระเป๋าสะพายวิ่งกลับไปบ้านข้าง ๆ
“คุณลุงมีเอกสารหรือบัตรประจำตัวอะไรรึเปล่าคะ?”
เจ้าของบ้านยกมือชี้ไปที่ถุงย่ามห้อยข้างฝา เธอค้นได้บัตรประชาชนมาก็จับยัดใส่กระเป๋าสะพายของตนแล้วพยุงชายสูงวัยออกไปรอรถแท็กซี่ และเป็นเมฆาเองที่เปิดประตูรถออกมาช่วยประคองลูกค้าที่คาดไม่ถึงไปนั่งยังเบาะหลัง พร้อมถามด้วยอาการตื่นตระหนกไม่แพ้กัน
“ลูกพี่! ลูกพี่เป็นอะไรไป?”
ระหว่างที่ยื่นเอกสารและรอซักประวัติ อาการของลุงหนูค่อยทุเลาลงแล้วแต่ใบหน้ายังซีดเซียวอยู่ เมื่อถึงเวลาตรวจรุ้งขวัญก็ช่วยประคองมิตรข้างบ้านเข้าไป พลอยทำให้คุณหมอข้างในเข้าใจผิดว่าเธอเป็นลูกสาวของคนป่วย
“คนมีอายุมากมักจะมีปัญหาเรื่องระบบการย่อยอาหาร ให้ดูแลเรื่องการทานอาหารให้ตรงเวลา ไม่เครียด ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมแอลกอฮอล์ ไม่ออกกำลังกายหนัก ๆ หรือนอนพักหลังทานข้าวอิ่มใหม่ ๆ ทานยาที่หมอสั่งให้ครบก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้วล่ะครับ เดี๋ยวเอานี่ไปยื่นให้พยาบาลที่อยู่ข้างหน้า รอรับยาแล้วก็พาคุณพ่อกลับบ้านได้เลย”
ทั้งคู่พากันออกมาโดยไม่โต้แย้งแก้ไขความเข้าใจผิดแม้แต่น้อย เพราะเห็นว่ามันไม่ใช่ธุระอะไร เมื่อพยาบาลสอบถามเพิ่มเติมเธอก็สวมรอยว่าเป็นลูกสาวของเขาไปตามนั้น เสร็จธุระก็พากันเดินออกมาเห็นว่าเมฆายังอยู่รอไม่ไปไหน
“เป็นอย่างไรบ้างพี่?”
“ไม่เป็นไรแล้วแค่โรคกระเพาะธรรมดา”
“แน่ใจนะว่าแค่โรคกระเพาะเฉย ๆ ตรวจดูละเอียดดีแล้วใช่ไหม? เผื่อเป็นโรคร้ายแรงอะไรจะได้รักษาทัน”
“นี่แกแช่งฉันรึไง บอกว่าไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรสิ”
“ก็คนมันเป็นห่วงนี่นา”
รุ้งขวัญนั่งฟังผู้ใหญ่สองคนคุยกันเงียบ ๆ ตลอดทาง รู้สึกถึงความห่วงใยและความสนิทสนมกันเป็นอย่างดีจึงนึกแปลกใจ เพราะเคยคิดว่าชายสูงวัยอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีเพื่อนฝูงและคบหาสมาคมกับใครที่ไหน
“เดี๋ยวหนูไปทำข้าวต้มให้นะคะ คุณลุงจะได้ทานยา”
เธอบอกเมื่อรถจอดสนิทที่ประตูหน้าบ้านตน เมฆาจึงช่วยประคองรุ่นพี่เดินผ่านไปยังดงกล้วยที่อยู่ถัดไป และยืนสำรวจมองดูสภาพแวดล้อมโดยรอบ
“พี่อยู่ที่นี่คนเดียวหรือ?”
“ใช่”
“แล้วแม่สาวน้อยเมื่อกี้ล่ะ?”
“เพื่อนบ้านน่ะ”
ตอบสั้น ๆ พร้อมไล่รุ่นน้องกลับเพราะกลัวเขาจะถามอะไรมากไปกว่านี้
“กลับไปทำงานเถอะ เสียเวลามาหลายชั่วโมงแล้ว ขอบใจมากที่มาส่ง”
“งั้นวันนี้ผมกลับก่อนละกัน วันหลังผมจะมาเยี่ยมใหม่ ดูแลสุขภาพตัวเองดี ๆ นะครับ”
รุ่นพี่พยักหน้ารับ ขยับตัวนั่งพิงฝาบ้านเปิดดูห่อถุงยาที่มีอยู่หลายขนานแล้วหลับตาลงอย่างอ่อนล้า ได้ยินเสียงฟ้าร้องครืนครันดังอยู่ไม่ไกล
“คุณลุงคะ”
รุ้งขวัญเรียกเสียงค่อย เอาถ้วยข้าวต้มมาวางลงตรงหน้า
“ทานข้าวก่อนนะคะจะได้ทานยา”
“ขอบใจ”
ตอบสั้น ๆ และฝืนทานข้าวอย่างเงียบ ๆ นั่งฟังรุ้งขวัญอ่านฉลากยาและบอกวิธีการทานอย่างชัดเจน
“เห็นประโยชน์ของโทรศัพท์รึยังคะ นี่ถ้าหนูไม่มาคุณลุงจะเป็นอย่างไรบ้าง รู้ตัวไหม?”
“ก็คงนอนตายอยู่ตรงนี้แหละมั้ง”
“คุณลุง! ทำไมพูดอะไรอย่างนี้ล่ะคะ”
“ทำไมหรือ? มันเป็นเรื่องธรรมดานี่ ชีวิตคนเราไม่แน่ไม่นอน เกิดมาทุกคนล้วนต้องตาย และก็ไม่รู้ด้วยว่าจะตายวันไหน ตายร้ายหรือตายดี เตรียมตัวเตรียมใจไว้แต่เนิ่น ๆ จะได้วางลงปลงง่าย”
หญิงสาวทำหน้าเศร้า ฟังและคิดตามที่เขาพูด แม้มันจะเป็นสัจธรรมของชีวิตแต่ก็ยังทำใจไม่ได้ง่าย คงเพราะเธออายุน้อย เรื่องความตายจึงดูยังห่างไกลจากชีวิตตนเองนัก แล้วจู่ ๆ เมฆฝนครึ้มที่ตั้งเค้าทำท่าจะตกมาเมื่อวานตอนกลางวัน ก็เกิดเทกระหน่ำลงมาในทันทีไม่มีปี่มีขลุ่ย พร้อมกับลมพายุกรรโชกแรงไม่ขาดสาย เสียงคำรามที่ร้องอยู่ไกล ๆ ขยับเคลื่อนย้ายเข้ามาใกล้ ส่งเสียงดังกัมปนาทอยู่เหนือหัวราวกับฟ้าถล่ม และผ่าลงในรัศมีใกล้ ๆ
รุ้งขวัญตกใจกลัวตัวสั่นเทา ยกมือขึ้นอุดหูและตัวแข็งนิ่ง เมื่อฟ้าแลบแปลบปลาบส่งแสงวูบวาบมาให้เสียวสันหลังเป็นระยะ ข้าวของก็ปลิวว่อนเพราะแรงลม หลังคาต่อเติมที่สร้างมาจากท่อพีวีซีน้ำหนักเบาและป้ายไวนิลโยกคลอนปลิวหวือ กระพือดังพึ่บพั่บ
ลุงหนูไล่เก็บข้าวของสำคัญที่คาดว่ามันจะปลิวหายยัดใส่ใต้ถุนเตี้ย แล้วคว้ามือสาวน้อยวิ่งเข้าห้องปิดประตูแน่นหนา
บ้านน็อคดาวน์หลังน้อยราคาถูก ไม่แข็งแรงพอจะต้านทานพายุฝนที่หอบกระหน่ำซัดมาอย่างบ้าคลั่ง จึงโยกไหวเอนและชุ่มไปด้วยน้ำฝนที่กระเซ็นเล็ดลอดเข้ามาตามรูร่อง เขาจับที่นอนสำเร็จรูปแบบพับได้ของตัวเองตั้งขึ้นล้อมชิดฝาทำเป็นที่กำบัง จับคนตัวเล็กที่กำลังหวาดกลัวยัดเข้าไป แล้วเอาผ้าห่มคลุมไว้ข้างบนเหนือหัว
รุ้งขวัญนั่งคุดคู้ตัวสั่นกอดหมอนแน่นอยู่ข้างใน กลัวว่าพายุจะหอบเอาบ้านหลังนี้ลอยไปทั้งหลัง เธอไม่เคยนึกชอบเวลาฝนตกเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไหนจะการจราจรติดขัดและความเศร้าหมองในจิตใจ ยิ่งมาเจอสถานการณ์น่ากลัวแบบนี้เข้าก็ยิ่งไม่ชอบไปใหญ่
หลายชั่วโมงผ่านไป พายุฝนก็สงบลงเหลือเพียงลมเย็นสบายและสายฝนโปรยปรายเท่านั้น
เจ้าของบ้านเปิดประตูนั่งพิงกรอบประตูห้อง ทอดสายตายาวเหม่อมองออกไปไกลถึงในอดีตเมื่อสามสิบปีก่อน ยังบ้านหลังแรกในชีวิตที่นอนแออัดยัดเยียดกันกับคนในครอบครัว
เวลาหน้าหนาวมันก็อุ่นดี แต่หน้าฝนทีไรก็เหมือนในขณะนี้ที่แทบจะไม่มีที่อยู่ ต้องนั่งทนง่วงเอาถังรองน้ำฝนที่หยดรั่วมาจากหลังคาตลอดคืน มันเป็นความทรงจำที่ประทับอยู่ในความรู้สึกของเขามาเนิ่นนาน เมื่อยามฝนตกทีไรก็มักจะนึกถึงความลำบากลำบนในวัยเยาว์เช่นนี้เสมอแม้จะผ่านมากี่ปีแล้วก็ตามที
หญิงสาวผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เธอตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกเมื่อยขบไปทั้งตัว ทีแรกก็นึกว่าฟ้ามืดแล้ว แต่ไม่ใช่ จึงเลิกผ้าห่มที่คลุมอยู่บนหัวโผล่ออกไปดูสภาพข้างนอก
ภาพแรกที่เห็นคือแววตาของชายสูงวัยที่เหม่อลอยอย่างหม่นเศร้า มันดูว้าเหว่ โดดเดี่ยว และอึมครึมเหมือนเมฆฝนบนท้องฟ้า เห็นอย่างนี้เข้าเธอก็รู้สึกใจบางเหลือเกิน เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดพลอยหวั่นไหวข้างในอย่างไรก็ไม่รู้ เผลอมองอยู่อย่างนั้นนานโดยไม่รู้ตัวเหมือนถูกมนตร์สะกดไว้ แม้ลุงหนูจะเบือนหน้ามาหาก็ยังไม่รู้สึกตัว จนกระทั่งถูกจ้องมองเขม็งเข้มจึงได้สติรับรู้ว่ากำลังถูกสายตาคมคู่นั้นดึงดูดเข้าไปในห้วงลึกล้ำสุดคาดคะเน เกินจะถีบตัวเองหลุดพ้นลอยเหนือน้ำได้
หากดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ รุ้งขวัญไม่พบสิ่งใดซ่อนอยู่นอกจากความอ้างว้างและว่างเปล่า
เธอผลุบหัวลงกลับไปซุกหลังที่กำบัง อะไรบางอย่างกระตุกหัวใจดวงน้อยให้มันหวิวหวั่นและจดจำความรู้สึกที่ยากจะอธิบายนี้ไปจนกระทั่งถึงในเวลากลางคืนที่ทำให้นอนไม่หลับ เพราะสายตาคู่นั้นยังประทับอยู่ไม่คลาย จึงเปิดประตูกระจกบานเลื่อนออกมายืนตรงระเบียง ชะเง้อข้ามกำแพงมองมาทางหลังคาบ้านของลุงหนูที่มืดสนิท
...ฝนหยุดตกไปนานแล้ว แต่ทว่ามันกลับย้ายมาตกที่ในใจของสาวน้อยแทน
โรงอาหารมหาวิทยาลัย
รุ้งขวัญกับกลุ่มเพื่อนกำลังต่อแถวเข้าซื้ออาหารและคุยกันถึงเรื่องที่จะเตรียมตัวไปเที่ยวราตรีในคืนนี้ด้วยกันเป็นครั้งแรกอย่างตื่นเต้น โดยได้นัดแนะให้ไปรวมตัวที่ห้องของหนูนิดเพื่อช่วยกันแต่งเนื้อแต่งตัวและออกมาพร้อมกัน
รุจิราที่เดินเชิดหน้าผ่านรุ้งขวัญไปเหมือนไม่รู้จักก็วกกลับมา เพราะนึกอยากแกล้งโดยการเข้าไปแทรกแถวต่อคิวหน้ารุ้งขวัญ
“นี่...”
เธอทักออกมาเบา ๆ รุจิราจึงหันข้างมาแลและสะบัดหน้าพรืดกลับไป
“ทำไมคุณไม่ไปต่อแถวข้างหลังคะ?”
หนูนิดเพื่อนของรุ้งขวัญที่ยืนถัดกันเอ่ยขึ้นมา ทำให้รุจิราโกรธหันมาพูดจาเสียงดัง ตวาดใส่ทันที
“นี่เธอ! อยู่ห้องไหน รหัสอะไร? ถึงไม่รู้จักสัมมาคารวะและการให้เกียรติรุ่นพี่ ไม่รู้รึไงว่าน้องใหม่ต้องทำตัวยังไง”
หนูนิดหน้าซีดตัวสั่น ก้มหน้านิ่งโดยอัตโนมัติ เพราะมีอาการแพนิคอ่อน ๆ จากการโดนรุ่นพี่ว้ากในกิจกรรมรับน้องที่ผ่านมา รีบกล่าวคำขอโทษตะกุกตะกัก
“ขอโทษค่ะ”
“ขอโทษอย่างเดียวหรือ? มือไม้ไปไหนหมด”
รุจิราเห็นอาการกลัวของเพื่อนรุ้งขวัญจึงได้ทีตะเบ็งเสียงดังหนักกว่าเดิม แต่ก่อนที่หนูนิดจะยกมือขึ้นมารุ้งขวัญก็จับแขนเพื่อนไว้ก่อน
“ไม่ต้องหนูนิด เค้าไม่ใช่รุ่นพี่คณะเรา”
“ทำไมยัยรุ้ง กล้าทำตัวมีปัญหาหรือ?”
“อย่ามาเนียน! เธอไม่ใช่รุ่นพี่คณะเราไม่มีสิทธิ์ หรือต่อให้จะใช่ ก็ควรทำตัวอย่างที่ดีกว่านี้ถึงจะให้รุ่นน้องเคารพได้ ถ้าทำไม่เป็นก็ไม่ต้องมาสอน!”
รุ้งขวัญโต้กลับเอาคืน เพราะไม่พอใจที่รุจิราทำให้เพื่อนของเธอตกใจกลัว
“นังรุ้ง!”
พี่สาวต่างแม่หน้าชา เงื้อมือมาหมายจะตบ แต่กลุ่มเพื่อนของรุ้งขวัญดาหน้าเข้ามาชิดและจ้องหน้ารุจิราอย่างเอาเรื่อง คนเจ้าอารมณ์จึงกล่าวอาฆาตและจากไปด้วยความอับอาย
“ฝากไว้ก่อนเถอะ ฉันจะฟ้องพ่อ!”
รุจิราสะบัดแปรงบรัชออนในมือทิ้งบนโต๊ะเครื่องแป้ง จ้องหน้าตัวเองในกระจกที่ยังกรุ่นโทสะจากการปะทะคารมที่โรงอาหารเมื่อตอนกลางวัน
“นังรุ้ง ฉันจะทำให้แกได้อับอายมากกว่านี้” ว่าแล้วก็นัดแนะเพื่อนชายหลายคนทางโปรแกรมแชทให้ไปเจอกันยังร้านที่ได้ยินว่ารุ้งขวัญกับเพื่อนจะไปเที่ยวกันในคืนนี้ โดยได้คิดวางแผนการร้ายไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว
หญิงสาวห้านางสวมชุดเดรสสวยงามคนละสี เดินเฉิดฉายก้าวมาพร้อมกันราวกับอยู่ในงานเปิดตัวสำคัญ ที่มีเธอห้าคนเป็นตัวเด่น
มิ้ง รุ้งขวัญ อ้อม หนูนิด และปานวาดยื่นบัตรประชาชนที่แนบกับธนบัตรใบสีม่วงให้กับคนเฝ้าประตูพร้อมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้แก่กันที่สามารถผ่านเข้าไปข้างในได้อย่างง่ายดาย
“โอ่โห้!”
ปานวาดอุทานขึ้นมาเป็นคนแรก เมื่อได้เห็นแสงสีวูบวาบและบรรยากาศจริง ๆ ตามที่เคยคิดและเห็นในละครมาก่อน ส่วนมิ้งที่ดูเป็นหัวหน้ากลุ่มบอกพนักงานบริการให้หาโต๊ะที่ดีที่สุดให้พวกเธอนั่ง เขาจึงนำลงไปยังชั้นล่างหน้าเวที
“สั่งอะไรกันดี? เอาเบียร์หรือเอาเหล้า”
“เอาเบา ๆ ก่อนนะมิ้ง”
อ้อมเป็นคนบอก มิ้งจึงสั่งเบียร์ยี่ห้อดังมาหนึ่งโปร พร้อมกับแกล้มอีกสองอย่าง
“โอ๊ย! ทำไมมันเสียงดังหนวกหูอย่างนี้ ลดเสียงลงหน่อยไม่ได้รึไง ขี้หูฉันเต้นระบำหมด” หนูนิดพูดขึ้นมา ทำท่าเอามือปิดหู
“เดี๋ยวก็ชิน ยิ่งดึกยิ่งสนุก ลองเครื่องดื่มก่อนซักสองสามแก้วแล้วอาการก็จะดีขึ้นเอง มะ” มิ้งบอกกับเพื่อน
“เอ้า! ชนแก้ว ฉลองให้กับการเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวของพวกเรา เฮ!”
ทุกคนชนแก้วแล้วยกเครื่องดื่มขึ้นลองจิบน้ำสีเหลืองฟองฟอดในมือ และก็แสดงสีหน้าออกมาไม่ต่างกัน
“มันไม่อร่อยว่ะ”
“ขมชะมัด”
“รสชาติไม่ได้เรื่อง”
“เสียดายตังค์จัง”
“ฮึ่ย! นี่แหละรสชาติของการเป็นผู้ใหญ่ หรือพวกแกจะดื่มนมและน้ำหวานไปตลอดชีวิต” มิ้งว่า
“ทำไมรสชาติของการเป็นผู้ใหญ่มันถึงได้ขื่นขมขนาดนี้วะ ขอเปลี่ยนใจกลับไปเป็นเด็กเหมือนเดิมได้ไหม” อ้อมบ่น
“ไม่ต้องพูดมาก สั่งมาแล้ว ช่วยกันกินให้หมดเลย ถ้าอันนี้ไม่ถูกปากค่อยลองสั่งอย่างอื่นทีหลัง”
“พวกนายเห็นห้าสาวที่นั่งอยู่ตรงกลางนั่นไหม ปีหนึ่งบริหารธุรกิจ มอเราเอง”
รุจิราชี้เป้าให้กับเพื่อนในกลุ่ม เมื่อนั่งมองลงมาจากข้างบนนานแล้ว
“อืม...หน้าตาดีกันทุกคน”
“เห็นผู้หญิงชุดสีฟ้าปาดไหล่นั่นไหม? ชื่อรุ้งขวัญ ฉันรู้จักดี”
“งั้นหรือ พาไปแนะนำหน่อยสิ” ชายคนหนึ่งในกลุ่มนั้นพูดขึ้นมา
“ฮะ ฮะ..ที่ว่ารู้จักดี ไม่ได้หมายความว่ารู้จักกันเป็นการส่วนตัวนะ รู้จักดีเพราะว่าเพื่อนฉันที่ทำงานเอนพิเศษเล่าให้ฟังว่าน้องคนนี้เก่ง ทำงานดี บริการเยี่ยม รับเฉพาะลูกค้าป๋า ๆ เสี่ย ๆ กระเป๋าหนักเท่านั้น”
“ฮึ่ย! ใช่หรือ ไม่น่าเป็นไปได้”
“อย่าดูคนแต่ภายนอกสิ ก็รูปร่างหน้าตา ท่าทาง กิริยาแบบนี้แหละเป็นอาวุธ ตกตาแก่หัวงูที่ชอบเอ็นดูเด็กซื่อใส ไร้เดียงสา ยิ่งทำตัวบริสุทธิ์เท่าไหร่ก็ยิ่งได้ราคางาม หนุ่มหล่อ ๆ แต่ไม่มีเงินอย่างพวกนายไม่ได้แอ้มเธอหรอกจะบอกให้”
“เสียดายเนอะที่มีรสนิยมแบบนี้”
“เอางี้ มาพนันกันไหม ถ้าพวกนายในนี้ใครก็ได้ พายัยนี่กลับไปได้ในคืนนี้ ฉันจะเลี้ยงเหล้าห้าครั้ง แต่ถ้าไม่ได้ก็ต้องเลี้ยงฉันคืน”
“ห้าครั้งเชียวหรือ?”
“สามก็ได้...ถ้ามั่นใจในเสน่ห์ของตัวเองก็รับคำท้าเลย”
รุจิราโกหก เธอรู้ดีว่าน้องสาวต่างแม่คนนี้มีนิสัยอย่างไร ไม่ยอมไปไหนง่าย ๆ กับคนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกแน่ ที่ทำอย่างนี้ก็แค่ต้องการแกล้งรุ้งขวัญให้หัวเสียและโมโหเล่นเท่านั้นเอง นอกจากจะได้เอาคืนเรื่องเมื่อตอนกลางวันแล้วยังได้กินฟรีจากการแพ้พนันของเพื่อนอีกด้วย งานนนี้มีแต่ได้กับได้
“ตกลงฉันเล่นเกมส์นี้”
โจอี้ที่หน้าตาดีที่สุดในกลุ่มมีความมั่นใจว่าตัวเองสามารถเอาชนะรุ้งขวัญได้เอ่ยปากรับคำท้า
“สามครั้งนะ” สาวเจ้าเล่ห์ย้ำชัด
“ดิว” ยกแก้วชน ยกยิ้มมุมปากแล้วพยักหน้าชวนเพื่อนชายลงไปล่าเหยื่ออย่างมุ่งมั่น