แอบรักลุงข้างบ้าน ตอน2
ตอนที่ 2 มิตรใหม่
“โทษทีนึกว่าแมวจร”
พูดเสร็จก็หันหลังกลับไปรดน้ำแปลงผักของตนต่ออย่างเฉยเมย ไม่สนใจว่าผู้บุกรุกหน้าใสคนนี้โผล่เข้ามาได้อย่างไร
ถึงแม้เขาจะอยู่อาศัยที่นี่มานานหลายปี ใช้เป็นที่ซุกหัวนอนและประกอบอาชีพปลูกผักขายเลี้ยงตัว แต่ที่ดินเล็ก ๆ ผืนนี้ก็ไม่ใช่กรรมสิทธิ์ครอบครองโดยตรง
เพราะแต่เดิมมันคือพื้นที่สาธารณะ ที่รกเรื้อไปด้วยป่าละเมาะและกองขยะ ด้านหน้าแคบประมาณหนึ่งช่วงตัวขนาดรูหมาผ่านแต่เนื้อที่ด้านในกว้างไปจรดตลิ่งจากการถูกสายน้ำพัดพาเอาตะกอนมาทับถมกันจนกลายเป็นที่ดินดอน
คนจรหมอนหมิ่นวัยกลางคนเช่นเขา มาเจอที่แห่งนี้เข้าด้วยความบังเอิญ จึงนึกจะตั้งหลักปักฐานโดยการสร้างเพิงเล็ก ๆ ไว้คุ้มหัวนอน แล้วเริ่มเก็บกวาดแผ้วถางไปทีละเล็กทีละน้อยจนโล่งเตียน หาหน่อกล้วยมาปลูกบังทางเข้าเพราะไม่สามารถล้อมรั้วได้
เก็บขยะและปลูกผักขายมานานหลายปี จนมีเงินเก็บมากพอจะซื้อบ้านน็อคดาวน์ราคาถูก ๆ มาติดตั้งแทนเพิงนอนเก่า ๆ ใช้เวลาแค่สองวัน วิมานบนดินก็สำเร็จเป็นรูปเป็นร่าง ขอต่อไฟมาจากข้างบ้าน ซึ่งยายนวลก็ไม่เคยเก็บเงิน เขาจึงหมั่นเอาผักไปตอบแทนให้อยู่บ่อย ๆ
อาศัยใช้น้ำอุปโภคจากถังน้ำฝนที่สำรองไว้ ส่วนน้ำดื่มและประกอบอาหารก็ไปกดมาจากตู้หยอดเหรียญอัตโนมัติหน้าปากซอย ข้าวปลาอาหารก็ไม่เปลืองมาก นึ่งผักต้มกินกับน้ำพริกทุกวัน บางวันก็ได้ปลาที่ดักมาจากลำห้วย นาน ๆ ทีถึงจะซื้อเนื้อหมูเนื้อไก่มาทำกินบ้าง
เขาอาศัยอยู่ที่นี่ตัวคนเดียวเนิ่นนาน ไม่มีครอบครัว ญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงมาเยี่ยมเยือน สมัยมาอยู่ใหม่ ๆ อาจจะมีบ้างที่รู้สึกเหงาและนึกถึงคืนวันเก่า ๆ ที่ผ่านมา แต่อดีตมันก็คืออดีต ล่วงผ่านไปแล้วก็ไม่สามารถเอากลับคืนมาได้ นึกไปก็พาลแต่จะเจ็บปวดใจเปล่า ๆ จึงสรรหากิจกรรมมาทำมากมายไม่ให้ตนฟุ้งซ่าน ทุ่มเทให้กับแปลงผักสวนครัวอย่างเอาจริงเอาจัง ขยันทำมาหากิน จากนั้นชีวิตของชายโฉดจึงไม่รู้จักกับคำว่าเหงาอีกต่อไป
รุ้งขวัญกลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะน้ำที่สาดมานั้นค่อนข้างมีกลิ่นนิดหน่อย โชคดีที่ไม่เจอผู้ใหญ่ทั้งสอง ไม่งั้นเธอคงตอบไม่ถูกว่าไปเปียกน้ำที่ไหนมา
ดูซิ! เพิ่งมาอยู่กับคุณยายได้แค่วันเดียวก็จะมาสร้างเรื่องปวดหัวให้เสียแล้ว ดันถือวิสาสะบุกรุกเข้าไปในพื้นที่ของคนอื่น ถ้าถูกกล่าวหาว่าเป็นขโมยขึ้นมาจะทำยังไง
สาวน้อยนั่ง ๆ นอน ๆ ด้วยใจไม่เป็นสุข กลัวคุณลุงคนนั้นจะมาปรากฏตัวที่หน้าประตูบ้านคุณยาย แล้วฟ้องเรื่องที่เธอแอบเข้าไปในที่ของเขาโดยพลการ แต่เมื่อผ่านไปหลายวัน สิ่งที่คิดไปเองนั้นก็ไม่เกิดขึ้นมา
ดวงตะวันอ่อนแสงราลง มือหยาบกร้านพักงานที่ทำอยู่ตรงหน้า หยิบหมวกสานปีกกว้างสวมศีรษะ หิ้วถังสีเก่า ๆ คู่ใจไปยังลำห้วยเพื่อหิ้วน้ำขึ้นมารดแปลงผัก เดินไปมาอยู่สองสามรอบจึงสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่าง ที่ตะคุ่มอยู่ตรงกลางศาลาท่าน้ำ เขาทำหน้าเคร่ง คิ้วขมวดแล้วบ่นออกมาเบา ๆ
“ใครสั่งใครสอนให้มานอนตากผ้าอ้อม[1]”
สาวน้อยงัวเงียตื่นขึ้นหลังจากลอบเข้ามานั่งเล่นตั้งแต่บ่ายแก่ ๆ แล้วเผลอหลับไปเพราะความร่มรื่นจากสายลมและเสียงนกร้องจนถึงเย็น
เธอลุกขึ้นมาทำตาขีดปรือหันไปตามเสียงบางอย่าง เห็นเจ้าของบ้านตักน้ำขึ้นลงอย่างขะมักเขม้น จึงลุกเดินตามไปดูห่าง ๆ แล้วทำท่าขยับเข้าไปใกล้ทีละนิดด้วยความสนใจ แต่ทว่าเจ้าของบ้านกลับทำเหมือนเธอเป็นวิญญาณไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้น พอรอบสุดท้ายเธอก็รีบฉวยบัวรดน้ำมาไว้ในมือพร้อมพูดว่า
“ให้หนูช่วยนะคะ”
ชายสูงวัยเงยหน้าจ้องมองคนตาใสที่พยายามส่งยิ้มมิตรภาพมาให้
เด็กสาวแปลกหน้าโผล่มาจากไหนไม่รู้ วางบัวรดน้ำลงกับพื้นพร้อมนั่งยองเตรียมท่ารอ เขาจึงเทน้ำจากถังใส่บัวให้อย่างเต็มปรี่จนล้นด้วยนึกอยากจะแกล้ง แต่คนตัวเล็กกลับไม่ได้รู้สึกอะไรใช้สองมือยกบัวขึ้นมารดน้ำแปลงผักอย่างสนุกสนาน
“หนูชื่อรุ้งขวัญค่ะ เป็นหลานยายนวล เพิ่งมาอยู่ด้วยได้ไม่นาน” เสียงหวานใสร่าเริงแนะนำตัวเองออกไป
“วันนั้นหนูตามเจ้าแมวเหมียวมาค่ะ ก็เลยมาโผล่ที่นี่ คุณลุงคงไม่คิดว่าหนูจะเข้ามาขโมยอะไรหรอกนะคะ”
“ที่ศาลาริมน้ำบรรยากาศดีมาก หนูก็เลยเผลอหลับไป วันหลังหนูขอมานั่งเล่นอีกบ่อย ๆ จะได้ไหมคะ?”
รุ้งขวัญพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุดโดยที่ชายสูงวัยไม่พูดอะไรด้วยสักคำ เขานั่งยอง ๆ ลงตั้งหน้าตั้งตาถอนวัชพืชออกจากแปลงผักของตัวเองโดยไม่สนใจอยากจะเสวนาและผูกมิตรไมตรีกับเพื่อนบ้านตัวน้อยคนนี้ เธอจึงทำหน้าจ๋อยแล้วเดินจากไปอย่างเงียบ ๆ
วันต่อมา หลังทานอาหารเที่ยง สาวน้อยก็มาเมียงมองตรงรั้วหลังบ้านอีกครั้ง ครุ่นนึกว่าจะขึ้นไปนอนเล่นโทรศัพท์เหมือนเดิมข้างบนหรือลอบเข้าไปนั่งเล่นริมน้ำอีก ทั้ง ๆ ที่เจ้าของเขาไม่สู้เต็มใจนัก
คิดไปคิดมาจึงลองชะโงกหัวออกไปอีกและได้ยินเสียงเพลงลูกทุ่งจากวิทยุทรานซิสเตอร์แว่วลอยมา จึงชักขาถอยหลังกลับ วิ่งเข้าไปในบ้านครู่เดียวก็ออกมาใหม่พร้อมกับจานชมพู่ในมือ สำหรับการเชื่อมไมตรีระหว่างเพื่อนบ้าน
สาวน้อยประคองจานคลานออกไปอย่างระมัดระวัง และนำไปวางลงตรงหน้าชายสูงวัยที่นั่งชันเข่าพิงเสาทำงานอยู่มือเป็นระวิง
“สวยจังเลยค่ะ คุณลุงทำเก่งจังเลย”
เขยิบเข้าไปใกล้ เปลี่ยนเป็นนั่งท่าขัดสมาธิมองมือหยาบกร้านที่สานกระเป๋าหวายอยู่ด้วยความคล่องแคล่ว
“ใบเท่าไหร่คะ? หนูอยากได้”
“มีเจ้าของแล้ว”
ตอบเย็นชาโดยไม่เงยหน้ามามองแม้แต่นิดเดียว รุ้งขวัญจึงนั่งเงียบมองด้วยความสนใจเป็นนานโดยไม่รู้จะชวนคุยอะไรต่อ จากนั้นจึงเขยิบตัวถอยห่าง หันหลังนั่งพิงเสาดูธรรมชาติฝั่งตรงข้าม
สายตาของผู้อาวุโสที่ผ่านโลกและอาบน้ำร้อนมามากกว่า แอบชำเลืองมองจากทางด้านหลังแล้วรีบหลุบตาลงต่ำตามเดิม ก่อนที่เธอจะเอี้ยวตัวหันกลับมายื้อผลไม้ปอกที่ตนนำมาไปทั้งจาน แล้วเคี้ยวหงับ ๆ นั่งฟังเพลงอยู่อย่างเงียบ ๆ
ชายหญิงต่างวัย นั่งคนละมุมอยู่ในโลกส่วนตัวของใครของมันเป็นเวลาหลายชั่วโมง โดยไม่รู้สึกเกร็งหรืออึดอัดแต่อย่างใด มันช่างเป็นเรื่องแปลกประหลาดเหมือนกัน ที่ต่างพบเจอไม่นาน รู้จักกันได้ไม่มากพอ แต่กลับอยู่ร่วมกันได้อย่างสบายอารมณ์
จนเมื่อถึงเวลา เขาก็ปิดวิทยุเก็บอุปกรณ์การทำงานเดินกลับเข้าไปในบ้าน สาวน้อยรู้งานดีวิ่งตามตูดขึ้นไปติด ๆ แล้วคว้าบัวรดน้ำเดินตามหลังลงมาที่ตลิ่งต้อย ๆ ช่วยรดน้ำผักจนเสร็จแล้วก็นั่งยอง ๆ ลงทำท่าจะถอนวัชพืชในแปลงต่อ
“ไม่ต้องหรอกมันเลอะเทอะ”
“หนูทำได้ค่ะ หนูอยากทำ”
“กลับบ้านไปได้แล้วเดี๋ยวยายเป็นห่วง”
“ยายไม่ห่วงหรอกค่ะ เพราะยายไม่อยู่”
เขานึกอยากจะเขกกะโหลกใส่เด็กดื้อด้านคนนี้เหลือเกินจริง ๆ ให้ตายเถอะ
“กลับไปได้แล้วไป เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่”
“คุณลุงอนุญาตให้หนูมาเที่ยวเล่นที่นี่บ่อย ๆ ได้แล้วใช่ไหมคะ?”
อนุญาตหรือไม่อนุญาตไม่เห็นจะต่างกันตรงไหน คิดในใจแล้วก็ตอบออกไปเพียงสั้น ๆ “อื้อ”
“งั้นวันนี้หนูกลับก่อนนะคะ พรุ่งนี้จะมาเที่ยวใหม่ ลาล่ะค่ะ”
ยกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่าด้วยความอ่อนน้อม เป็นกิริยาที่น่ารักน่าเอ็นดูพลอยทำให้หัวใจที่หยาบกร้านและท่าทางแข็งกระด้างอ่อนลง เพราะไม่เคยมีใครให้เกียรติชายจน ๆ แบบนี้มาก่อน เขามองเธอเดินลงไปหยิบจานในศาลาแต่ไม่มีทีท่าที่จะกลับขึ้นมาแต่อย่างใด จึงตามไปดูและก็ได้พบช่องทางเล็ก ที่สาวน้อยใช้โผล่มาที่นี่ในตอนกลางวันได้อย่างกับผีหลอก
รุ้งขวัญมาในเวลาเดิมกับเมื่อวาน พร้อมกับถ้วยใส่ขนมปี๊บ
วันนี้เธอไม่ค่อยชวนคุย แต่นั่งเล่นเดินเล่นอยู่บริเวณใกล้ ๆ ไปตามประสา พอถึงเวลาก็กระตือรือร้นหยิบถังสีพร้อมขันน้ำพลาสติกลงไปริมห้วยก่อน ชายสูงวัยที่เอาของเข้าไปเก็บในตัวบ้านก็เดินตามมายืนเท้าสะเอวมองแล้วพูดว่า
“ตักใส่เต็มขนาดนั้นหิ้วไหวหรือ?”
สาวน้อยเพิ่งรู้ตัวเพราะจ้วงน้ำใส่ด้วยความเพลิดเพลินไม่ทันนึกว่ามันจะหนักจึงตักน้ำออกให้เหลือเพียงครึ่ง แล้วใช้สองมือหิ้วหูจับขึ้นมา
ด้วยความที่กลัวคุณหนูแสนซนจะลื่นล้มจนเจ็บตัว ผู้อาวุโสจึงยื่นมือออกไปรับเอง
“เอามานี่”
บังเอิญมือที่ฉกตรงหูหิ้วสัมผัสเข้ากับหลังมือนวลเนียนแผ่วผิวโดยไม่ตั้งใจ แค่นั้นเอง แม้จะเล็กน้อยและรวดเร็ว แต่ทว่าได้ก่อกระแสไฟประหลาดพุ่งวาบขึ้นมาในความรู้สึกของใครบางคนอยู่เป็นนานเกือบนาที
“ไม่เรียนหนังสือหรือ?”
ชายสูงวัยอดไม่ได้ ที่จะถามแขกไม่ได้รับเชิญออกมาในเย็นวันหนึ่ง
“หนูเรียนจบแล้วค่ะ กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย ตอนนี้ปิดเทอมอยู่”
เขามองสาวน้อยตรงหน้า ที่ดูยังไงก็ไม่เหมือนคนกำลังเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย ถ้าบอกว่าเป็นเด็กอนุบาลหรือประถมยังดูจะเข้าท่ากว่าเสียอีก ก็เล่นนั่งคุยกับสรรพสัตว์ในแปลงผักอย่างสนิทสนมขนาดนี้
‘นี่แหนะ ๆ ออกไปนะ ไม่ต้องมาอยู่ที่นี่เลย’
‘แกอย่าตะกละกินผักของคุณลุงจนหมดนะ’
‘อุ๊ย! ทำไมตัวเล็กน่ารักจังเลยอะ’
‘อี๋ย์! ไปนะเจ้าสัตว์อุบาทว์ฉันไม่ชอบแก’
‘นี่แกเป็นตัวอะไรน่ะ ทำไมหน้าตาประหลาดอย่างนี้’
‘กระดึ้บ กระดึ้บ มีปัญญาไปได้แค่นี้เองเหรอ ฮ่า ฮ่า’
ดวงตาคมเข้มแต่ทว่าค่อนข้างหม่นแสงนั้น จ้องมองตรงพุ่มเฟื่องฟ้าติดรั้วหลังบ้านของยายนวล ที่หลานสาวจอมแก่นแอบมุดออกมาหนีเที่ยวโดยหญิงชราไม่รู้ตัวเลย
ขณะกำลังคิดอยู่ว่าจะจัดการซ่อมแซมปิดรอยโหว่นี้อย่างไรดี ก็ได้ยินเสียงดังมาจากอีกฟากพร้อมเสียงใสทักทายมาก่อนตัว
“คุณลุงมารอหนูหรือคะ?”
ชายสูงวัยถอนหายใจก่อนจะหันหลังเดินกลับไป
“ว๊าย! คุณลุงช่วยด้วย โอ๊ย! หนูติดออกไม่ได้”
รุ้งขวัญร้องโวยวาย มือหนึ่งถือหนังสือ อีกมือหนึ่งถือขนม คอเสื้อยืดถูกกิ่งไม้เกี่ยวรั้งไปข้างหลัง และเขาจำเป็นต้องช่วยเหลืออย่างช่วยไม่ได้ มือใหญ่ยื่นออกไป สายตาของเขาไม่ได้ฝ้าฟางเกินจนมองไม่เห็นผิวขาวนวลเนียนที่ซ่อนอยู่ใต้ร่มผ้า ความคิดชั่วช้าที่อยากจะสัมผัสลูบไล้ไหล่มนปรากฏแวบขึ้นมาเสี้ยววินาที ก่อนที่มือนั้นจะเลยผ่านไปปลดเสื้อออกจากกิ่งไม้ข้างหลังให้เธอหลุดพ้นเป็นอิสระ
“ขอบคุณค่ะ นี่! หนูเอามาฝาก เมื่อเช้าไปตลาดกับคุณยายมาค่ะ”
ยื่นขนมเทียนสอดไส้ให้เพราะเห็นว่าคุณลุงไม่แตะของที่เธอนำมาก่อนหน้านี้เลย จึงคิดว่าเขาน่าจะชอบขนมไทยแบบนี้มากกว่า
รุ้งขวัญนั่งอ่านนิตยสารแฟชั่นเล่มใหญ่ราคาแพงของต่างประเทศอย่างตั้งใจ พอนานไปรู้สึกชักเมื่อยจึงเปลี่ยนท่าเป็นนอนราบคว่ำหน้าลงอย่างสบายอารมณ์
ผู้อาวุโสที่ผ่านอะไรมาเยอะ เห็นโลกมามากกว่า รู้จักมุมมืดและความชั่วร้ายของมนุษย์มานักต่อนัก อยากจะบอกคนตรงหน้าว่าไม่ควรทำอะไรแบบนี้ แต่ก็คิดว่าสาวน้อยคงจะไม่เข้าใจและเขาก็ขี้เกียจจะอธิบายอะไรให้ฟังมากมาย จึงลุกออกจากท่าน้ำที่อยู่ลับตาผู้คนแห่งนี้ไปอย่างเงียบ ๆ คิดในใจว่าควรเว้นระยะห่างกันไว้เพื่อความเหมาะสม เพราะเธอยังเด็ก อ่อนต่อโลกนัก จึงไม่ได้คิดอะไรรอบคอบ เขายิ่งสมควรต้องระวังตัวเองเป็นพิเศษ
“โรงเรียนเปิดเมื่อไหร่?”
“อาทิตย์หน้าค่ะ”
อีกอาทิตย์เดียว เขาคิดในใจว่าอดทนไว้ แค่หนึ่งอาทิตย์ชีวิตของเขาก็จะกลับมาสงบราบเรียบเป็นปกติดังเดิม
“กะหล่ำหัวนี้ใหญ่จังเลย สงสัยมันจะกินจุกว่าเพื่อน อ๊วบอวบแหนะ”
“เอาไปให้ยายสิ”
“ให้จริงหรือคะ?”
“เป็นค่าแรงที่มาช่วยทำงาน”
“หนูไม่คิดค่าแรงหรอกค่ะ หนูทำให้ฟรี”
“ของฟรีมีที่ไหนกัน เหนื่อยเปล่าแล้วได้อะไร”
“มีสิคะ ทำไมจะไม่มีล่ะ”
“ไม่มีหรอกถ้าไม่ตอบแทนด้วยเงินทอง ก็ต้องตอบแทนด้วยบุญคุณ”
“หนูไม่เข้าใจ”
“เพราะเธอยังเด็ก”
“เวลาหนูนวดให้ยายหนูก็ทำให้ฟรี ไม่ได้อยากขอค่าขนมเพิ่ม ทำเพราะอยากทำเฉย ๆ”
เขาเงียบเสียงไปไม่อยากพูดอะไรต่อ เพราะโลกของเธอกับโลกที่ผ่านมาของเขามันไม่เหมือนกัน
เกิดมาลำบากยากจน สู้ทนปากกัดตีนถีบมาตั้งแต่เด็ก โตมาก็ต้องฟันฝ่าชีวิต แก่งแย่งชิงดี ถูกหักหลังเพราะคำว่าผลประโยชน์ นึกถึงเรื่องเก่า ๆ แล้วก็สุดรันทดใจ มันจึงเป็นเหตุผลที่เขาหลบหนีมาใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวเงียบ ๆ ไม่ข้องเกี่ยวพบปะสุงสิงกับผู้ใดจนเกินไปนัก
[1] คนพูดใช้คำโบราณและกร่อนเสียง หมายถึงเวลาผีตากผ้าอ้อมหรือเวลาโพล้เพล้