"อาจารย์ธรรมศาสตร์" ชี้ที่ "ศรีสุวรรณ" ไล่ฟ้องร้องคนอื่นเป็นความรุนแรงอีกประเภทหนึ่ง เรียกว่า "ภาวะนิติสงคราม"
อ.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี นักวิชาการ มธ. ที่เคยถูก ศรีสุวรรณ จรรยา ฟ้องร้อง ให้ความเห็นกรณีที่มีการใช้ความรุนแรงกับศรีสุวรรณ ระบุว่า...การต่อยหน้าเป็นความรุนแรงและเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย แต่สะท้อนให้เห็นว่า เราจำเป็นต้องมีการทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้น และทำให้กลไกทั้งหลายเข้าสู่ภาวะปกติโดยไวที่สุด
เพราะสิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยคือ ทางด้านศรีสุวรรณเองก็ได้มี “กระบวนการใช้ความรุนแรงที่เรามองไม่เห็น” เรียกว่า “ภาวะนิติสงคราม” เป็นการใช้กฎหมายในการวางเงื่อนไขสำหรับคนที่มีความเห็นต่างทางการเมือง หรือเป็น ‘การใช้กฎหมายปิดปาก’ นั่นก็คือ ทำให้คนๆ นั้นอยู่ในสภาวะที่ต้องเซนเซอร์ตัวเอง
ไม่สามารถที่จะส่งเสียงหรือนำข้อเสนอสู่การถกเถียงได้ “นับว่าเป็นความรุนแรงประเภทหนึ่ง”และมีกลุ่มคนได้รับผลกระทบจากความรุนแรงประเภทนี้ ทั้งโดยตรง และโดยอ้อม แบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
1) กลุ่มแรก เป็นคนที่มีชื่อเสียง มีฐานะ มีอำนาจทางการเมืองไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาล ซึ่งสามารถฟ้องกลับ หรือดำเนินคดีได้ หรืออาจจะอยู่ในสถานะที่ยักไหล่ไม่สนใจได้
2) กลุ่มที่สอง เป็นคนที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ ยังไม่สามารถที่จะฟ้องกลับหรือยักไหล่ไม่สนใจได้ แต่ยังอยู่ในวิสัยที่ใช้ชีวิตตามปกติได้
3) กลุ่มที่สาม น่าเป็นห่วงที่สุด เพราะเป็นคนที่ไม่มีอำนาจ ต้องเสียงาน เสียรายได้และเสียเวลาในการไปเคลียร์คดี
แม้ไม่ได้ถูกบันทึกเป็นประวัติอาชญากรรม แต่ถูกบันทึกประวัติในโลกออนไลน์ และสุดท้ายก็ไม่ได้รับกระบวนการเยียวยาอะไร“สิ่งนี้ผมอยากย้ำว่าเป็นปัญหา เป็นความรุนแรง ต้องมีกระบวนการทบทวนเรื่องนี้ว่าสิ่งที่ศรีสุวรรณทำ ได้รู้สึกผิด และรู้สึกละอายต่อเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน” ทั้งนี้ อ.ษัษฐรัมย์ ได้ตอบประเด็นที่มีประชาชนบางกลุ่มมองว่า
‘ถ้าเราไม่ทำอะไรเสี่ยงผิดกฎหมายตั้งแต่แรก ก็จะไม่ถูกฟ้อง’ ว่า...มันเป็นคนละประเด็นกันกับวิธีที่ศรีสุวรรณใช้ช่องกฎหมาย เพื่อวางเงื่อนไขให้คนถูกกฎหมายปิดปากอยากเสนอวิธีการที่ง่ายคือ คุณสามารถให้ความเห็นโดยสุจริตได้ ในสาธารณะก็ได้ เหมือนกับเพจอื่นๆ ทั่วไป
หากไม่เห็นด้วยกับเรื่องอะไรก็แสดงความเห็นออกมาก่อน พูดคุยกับคนที่ไม่เห็นด้วย ถ้ารู้สึกว่าเรื่องนี้คอขาดบาดตาย ก็ว่ากันไปตามเรื่องของการดำเนินคดีได้ “เราอยู่ในสังคมเดียวกัน เราต้องการกระบวนการที่นำไปสู่การพูดคุยกันอย่างสันติที่สุด มากกว่าที่เป็นอยู่นี้ ซึ่งผลลัพธ์ของมันคือ กระบวนการการฟ้องปิดปากนั่นเอง”