อาชีพขโมยศพในช่วงการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์นั้นมีกำไรมากจนผู้ลักลอบขุดศพบางคนฆ่าคนเพื่อสนองตลาด!!
ในปี 1873 แม่ของเด็กชายคนหนึ่งเพิ่งเสียชีวิต และแพทย์ได้ล้อเล่นกับเด็กชายโดยใช้แขนของศพและบอกว่านี่คือแขนของแม่ที่เสียชีวิตแล้วกำลังโบกมือให้ และเด็กก็ได้เล่าให้พ่อของเขาฟังว่าเกิดอะไรขึ้น การที่แพทย์เอาแขนของภรรยาที่เสียชีวิตไปแล้วมาเล่นทำให้เขาไม่สบายใจ เขาจึงไปตรวจสอบหลุมศพที่เพิ่งฝังของเธอและพบว่าโลงศพของภรรยาเขาภูกเปิดออกและภายในนั่นว่างเปล่า เขาจึงรู้ได้ทันที่ว่าศพของภรรยาเขาได้ถูกขโมยไป
เนื่องจากนักศึกษาแพทย์ที่วิทยาลัยโคลัมเบียต้องจัดหาศพเพื่อมาวิจัย และทำโดยการปล้นหลุมฝังศพทาสของเมือง สุสานคนดำ และสุสานคนยากจน นักศึกษาแพทย์และแพทย์จ่ายเงินให้โจรเพื่อนำร่างของคนมาให้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังฝัง
ตามคำสอนของคริสตจักรในวันสิ้นโลกและวันพิพากษา คนตายทั้งหมดจะลุกขึ้นไปรับตำแหน่งในสวรรค์หรือนรก ดังนั้น จึงเชื่อกันว่าจำเป็นสำหรับคริสเตียนที่ตายไปแล้วที่จะคงสภาพเดิมของศะและรักษาไว้เพื่อพวกเขาจะได้ขึ้นสู่สรวงสวรรค์ในวันพิพากษา
ในช่วงต้นทศวรรษ 1400 นักวิทยาศาสตร์และศิลปินเช่น Leonardo da Vinci ได้ศึกษาร่างของคนตายเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับกล้ามเนื้อและโครงสร้างที่ละเอียดอ่อนของพวกเขา แต่เพื่อที่จะทำสิ่งนี้ได้ จำเป็นต้องมีอาสาสมัคร
ในปี ค.ศ. 1536 แพทย์อายุ 22 ปี Andreas Vesalius เริ่มขุดศพจากสุสานในปารีสเพื่อศึกษา เขาต้มเนื้อของศพเพื่อสังเกตโครงกระดูกและเขียนบันทึกและการแก้ไขสิ่งที่มีอยู่เกี่ยวกับกายวิภาคของมนุษย์
เมื่อการประหารชีวิตในที่สาธารณะยังเป็นที่นิยม นักวิจัยก็สามารถหาศพมาได้โดยง่าย ไม่ว่าจะขโมยหรือซื้อจากเพชฌฆาต แม้จะมีเสียงต่อต้านก็ตาม
การจัดหาศพกลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับนักกายวิภาคศาสตร์หลังจากที่รัฐสภาผ่านพระราชบัญญัติการฆาตกรรมปี 1751 ซึ่งรับรองการผ่าทางการแพทย์ต่อศพของฆาตกรที่ถูกตัดสินว่าเป็นการลงโทษหลังความตายสำหรับพวกเขา ที่น่าแปลกก็คือ พระราชบัญญัตินี้ทำให้ประชาชนต่อต้านการประหารชีวิต และการยุติการประหารชีวิตก็ทำให้การจัดหาร่างสำหรับนักวิจัยสิ้นสุดลง ในขณะเดียวกัน จำนวนโรงเรียนแพทย์ก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก
แพทย์รู้สึกว่าการฝึกกับศพส่งผลให้การรักษาคนเป็นดีขึ้น แต่เนื่องจากปัจจุบันการหาศพมาศึกษาได้ทำได้ยากขึ้นเนื่องจากความเคียดแค้นและความรู้สึกทางศาสนา แพทย์จึงต้องหันไปหาพวกโจรและหัวขโมยเพื่อจัดหาอาสาสมัคร ตัวอย่างเช่น การขุดที่โรงพยาบาล Royal London ที่ Whitechapel ในปี 2006 ได้ค้นพบโครงกระดูกมากกว่า 250 ชิ้นที่แสดงให้เห็นร่องรอยของการผ่า นอกจากนี้การค้นพบกระดูก 1,200 ชิ้นจากคนอย่างน้อย 15 คนในห้องใต้ดินของบ้านในลอนดอนซึ่งครั้งหนึ่งเคยอาศัยอยู่โดยเบนจามิน แฟรงคลิน ก็มีสาเหตุมาจากการวิจัยดังกล่าวเช่นกัน
อันที่จริงการขโมยศพเป็นธุรกิจที่ร่ำรวย ในสหรัฐอเมริกา สามารถรับเงินได้ระหว่าง 5 ถึง 25 ดอลลาร์ต่อหนึ่งศพ ในยุคที่แม้แต่คนงานที่ได้รับค่าตอบแทนดีก็อาจได้รับเงินเพียง 20 ถึง 25 ดอลลาร์ต่อสัปดาห์
การโจรกรรมหลุมฝังศพทางการแพทย์จำเป็นต้องมีซากศพที่สดใหม่ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งหมายความว่าซากศพจะหายากขึ้น สิ่งนี้นำไปสู่การขโมยมากขึ้น การจับกุมที่มากขึ้นและในบางกรณี การใช้ทางลัดที่โหดร้ายเพื่อให้ได้ศพมา เช่น การฆาตกรรม
เมื่อถึงช่วงเปลี่ยนศตวรรษที่ 19 เพื่อนและครอบครัวมักจะนั่งข้างหลุมศพนานถึงสามหรือสี่วันโดยหวังว่าการเน่าเปื่อยจะทำให้ร่างกายไม่มีประโยชน์ต่อผู้ที่ต้องการขโมย
บางคนก็จะวางก้อนหินขนาดใหญ่ไว้บนหลุมศพของคนที่พวกเขารัก
สุสานบางแห่งทั้งในสหราชอาณาจักรและในสหรัฐอเมริกาจะมีผู้พิทักษ์สุสานคอยดูแลหลุมศพในตอนกลางคืน
หรือบางคนอาจสร้างกรงเหล็กขึ้นเพื่อปกป้องโลงศพ และยังคงพบเห็นได้ในสุสานบางแห่งในอังกฤษและอเมริกาในปัจจุบัน
ต่อมาจึงมีสิ่งประดิษฐ์อันชาญฉลาดหลายสิบชิ้นเพื่อปกป้องหลุมศพ เช่น ปืนหลุมศพ สัญญาณเตือนภัย และแม้แต่ตอร์ปิโด
ในปี พ.ศ. 2371 ผู้อพยพชาวไอริช William Burke และ William Hare ฆ่าคน 16 คนในช่วง 10 เดือนเพื่อขายร่างกายให้กับนักกายวิภาคศาสตร์
มีกรณีหนึ่ง Burke และ Hare นำร่างของหญิงสาวสวยคนหนึ่งชื่อ Mary Paterson ไปขาย แพทย์ที่ซื้อร่างของเธอไปมักจะจัดร่างเปลือยของ Paterson ในท่าทางต่างๆ และเขายังจ้างศิลปินให้วาดภาพร่างของเธอด้วย แต่ได้มีศัลยแพทย์คนหนึ่งเดิดสงสัยจึงเดินเข้าไปในห้องทำงานของนายแพทย์ผู้นี้และพบศพของแมรี่ในท่ากามวิตถาร
การกระทำที่น่าสยดสยองของ Burke และ Hare สิ้นสุดลงเมื่อพวกเขาฆ่า "Daft Jamie" วัย 19 ปี ดังนั้นเขาจึงถูกจับกุม Hare รอดพ้นจากการลงโทษหลังจากให้การกับคู่หูของเขาในการพิจารณาคดี เมื่อวันที่ 28 มกราคม ค.ศ. 1829 วิลเลียม เบิร์กถูกแขวนคอ ศพของเขาถูกผ่าที่ Royal Hall of Surgeons ก่อนมีผู้ชมมากถึง 30,000 คน กระดูกของเบิร์คถูกจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์หลายแห่งในเอดินบะระในช่วง 190 ปีที่ผ่านมา