ในแวดวงเสริมความงาม ได้มีการนำโบท็อก มาใช้เพื่อปรับรูปหน้าให้เรียวสวย ฉีดลดริ้วรอยตามจุดต่าง ๆ บนใบหน้า และได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เราควรจะเลือกใช้โบท็อกซ์ยี่ห้อไหนดี? ในปัจจุบันนี้มี botox ยี่ห้อไหน รุ่นอะไรให้เลือกบบ้าง แต่ละยี่ห้อนำเข้ามาจากประเทศอะไร? ฉีด botox ยี่ห้อไหนดีที่สุด? เราได้รวบรวมคำแนะนำจากแพทย์มาฝากเพื่อน ๆ ทุกคน มาดูกันเลยค่ะ!
ชื่อทางการค้าของโบท็อก คือ Botulinum toxin type A (โบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ) ซึ่งสกัดมาจากแบคทีเรียชื่อ Clostridium botulinum (คลอสตริเดียม โบทูลินัม) ถูกนำมาใช้ฉีดเพื่อปรับรูปหน้า ลดกรามที่ใหญ่จากกล้ามเนื้อกรามใหญ่ หลังจากฉีดแล้วจะไปออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท (Neurotoxin) ส่งผลให้มัดกล้ามเนื้อทำงานได้ลดลงเป็นการชั่วคราวค่ะ
หากฉีดโบท็อกแท้ มีความปลอดภัยสูง สามารถสลายไปเองได้หมด 100% ไม่มีสารตกค้าง ผลลัพธ์ที่ได้หลังจากฉีดโบท็อกลดกรามจะอยู่ได้นานประมาณ 5-6 เดือน ส่วนโบท็อกลดเลือนริ้วรอยจะอยู่ได้นานประมาณ 3-4 เดือน
หลายคนอาจยังสับสนว่าควรจะเลือกฉีดโบท็อกซ์ยี่ห้อไหนดี เนื่องจากทุกวันนี้มีโบท็อกให้เลือกใช้มากมายหลายยี่ห้อ ที่นำเข้ามาในไทยอย่างถูกกฎหมาย รวมถึงได้รับการรับรองจาก อย. ซึ่งแต่ละยี่ห้อก็จะมีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็น
คุณสมบัติหนึ่งของโบท็อกคือ Molecule Complex จะมีด้วยกันหลัก ๆ แบ่งเป็น 3 ส่วน ดังนี้
1.) Accessories protein (750kDa)
ได้รับการออกแบบให้โบท็อกกระจายตัวแคบ
ได้รับการออกแบบให้โบท็อกกระจายตัวกว้าง
จากการย้อมสีผิวหนัง พิจารณาถึงพื้นที่ที่โบท็อกออกฤทธิ์ พบว่า โบท็อกยี่ห้อ Dysport (ด้านขวา)
ตัวยาจะกระจายตัวกว้างกว่าโบท็อกยี่ห้อ Allergan (ด้านซ้าย)
2.) Heavy chain (100kDa)
โบท็อกส่วนที่ 2 คือกุญแจที่ทำให้โบท็อกส่วนที่ 3 สามารถเข้าไปสู่เซลล์เส้นประสาทได้
3.) Light chain (50kDa)
โบท็อกส่วนที่ 3 นี้เป็นส่วนที่จะไประงับการทำงานของกล้ามเนื้อค่ะ
โบท็อกมีความปลอดภัยสูง เพราะสามารถสลายไปได้เองตามธรรมชาติได้ทั้งหมด เนื่องจากโบท็อกเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง
หากแต่ในคนไข้บางคน ร่างกายเกิดการสร้างภูมิต้านทาน หรือ antibody ขึ้นมา ส่งผลให้คน ๆ นั้นเกิดอาการดื้อโบท็อก ฉีดโบท็อกเข้าไปแล้วไม่เห็นผล ไม่ออกฤทธิ์ เนื่องจาก antibody ของร่างกายจะไปจับกับโบท็อกแทน
สำหรับการดื้อโบท็อก เกิดขึ้นได้จากทั้งโปรตีนส่วนที่ 1, 2, 3 (ตามข้อ A) โบท็อกส่วนที่ 3 จะมีความคล้ายคลึงกันในทุกยี่ห้อ เนื่องจากเป็น botulinum toxin type A เหมือน ๆ กัน ต่างกันตรงสายพันธุ์เล็กน้อย ความแตกต่างของโบท็อกจะอยู่ตรงส่วนที่ 1 และ 2 ของแต่ละยี่ห้อค่ะ
พวกเราอาจเคยได้ยินชื่อยี่ห้อโบท็อกซ์หลาย ๆ ยี่ห้อกันมาบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นโบท็อกของสหรัฐอเมริกา เยอรมัน อังกฤษ เกาหลี หากแต่บางคนอาจยังไม่ทราบถึงอายุการใช้งาน ราคา คุณสมบัติ และความแตกต่างของ botox แต่ละยี่ห้อ วันนี้เราจะมาพูดกันแบบเจาะลึกว่ายี่ห้อที่นิยมใช้มีแบรนด์ไหนบ้าง แต่ละตัวมีคุณสมบัติอย่างไรค่ะ
ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย ต่างให้ความนิยมเลือกฉีดโบท็อกอเมริกา ยี่ห้อ Allergan อันเป็นต้นแบบของ botox ทุกชนิด มีความปลอดภัย อ้างอิงจากงานวิจัยทางการแพทย์รองรับมากกว่า 3,500 งานวิจัย (since 1989) และเป็นโบท็อกซ์ตัวแรกที่มีการนำมาใช้เพื่อความงาม
โบท็อก Allergan มีจุดเด่นคือ มีความบริสุทธิ์มากถึง 99.5% อีกทั้งยังได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง โอกาสที่จะดื้อโบท็อกน้อยที่สุด หากเทียบกับโบท็อกยี่ห้ออื่นแล้ว Allergan ให้ผลการรักษาดีที่สุด การกระจายตัวของยาแคบที่สุด ให้ผลการรักษาแม่นยำที่สุด แพทย์จึงสามารถคาดคะเนการออกฤทธิ์ของตัวยาได้อย่างแม่นยำ ทั้งนี้ ควรฉีดโดยหมอที่มีประสบการณ์สูง เพื่อผลลัพธ์ที่คุ้มค่า
เมื่อเทียบกับโบท็อกเกาหลีธรรมดาแล้ว โบท็อกอเมริกายี่ห้อ Allergan มีอายุการใช้งานนานกว่าประมาณ 20% แต่จะมีราคาสูงกว่าโบท็อกยี่ห้ออื่นค่ะ
บริษัทอัลเลอร์แกน (Allergan) ประเทศอเมริกา คือบริษัทผู้ผลิต โบท็อก Allergan และมีผลิตภัณฑ์ชื่อดังที่ได้รับความนิยมหลายตัว อาทิ COOLSCULPTING® เทคโนโลยีสลายไขมันด้วยความเย็น และฟิลเลอร์ ยี่ห้อ JUVÉDERM®
โบท็อก Dysport จากอังกฤษ ผลิตโดยบริษัท Ipsen ได้รับความนิยม จากงานวิจัยระบุว่าโครงสร้างของสารที่มีโมเลกุลของ Dysport เล็กกว่าโบท็อกอเมริกา อีกทั้งยังมีการกระจายตัวกว้าง ต้องระมัดระวังในการฉีดมาก จึงต้องฉีดโดยหมอที่มีประสบการณ์ มิฉะนั้นอาจต้องเสี่ยงกับการเกิดผลข้างเคียง อาทิ ปากเบี้ยว ยิ้มไม่สุด ตาตก
โบท็อกอังกฤษ ยี่ห้อ Dysport นิยมนำมาใช้ฉีดเพื่อลดกราม ลดน่อง ลดเหงื่อบริเวณฝ่ามือและรักแร้ เนื่องจากตัวยามีการกระจายได้ในบริเวณกว้าง ฉีดแล้วเห็นผลได้อย่างชัดเจน
จุดเด่นของโบท็อก Dysport คือ ออกฤทธิ์เร็ว การกระจายตัวยาเป็นไปได้อย่างทั่วถึง จึงถูกนำมาใช้ฉีดปรับรูปหน้าด้วยเทคนิค dermolift สำหรับการยกกระชับใบหน้า กระชับผิว และลดริ้วรอย ตัวยาจะไม่กระจุกเป็นจุดแคบ ๆ
โบท็อกเยอรมันยี่ห้อ Xeomin ผลิตขึ้นในประเทศเยอรมัน ผ่านการรับรองจาก FDA ของอเมริกา นำเข้าโดยบริษัท เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย จำกัด (Merz Aesthetics) เพื่อนำมาใช้ในคลินิกชั้นนำต่าง ๆ ในประเทศไทย ได้รับความนิยมเพราะโบท็อกซ์เยอรมัน Xeomin ได้รับพัฒนาโดยนำข้อดีของโบท็อก Allergan มารวมกับข้อดีของ Dysport
คุณสมบัติของโบท็อกแบรนด์ Xeomin จะอยู่กึ่งกลางระหว่างยี่ห้อโบท็อกจากอเมริกากับอังกฤษ กล่าวคือ ตัวยาจะไม่กระจุกตัวแคบเกินไป ตัวยามีความบริสุทธิ์สูง ฉีดแล้วไม่ตึกจนเกินไป ให้ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ ฉีดแล้วได้ผลดีในเคสที่ดื้อยา แต่ต้องหยุดการฉีดโบท็อกมาแล้วอย่างต่ำ ๆ 2-3 ปี
ในไทยเราอาจเคยได้ยินมาว่าโบท็อกเกาหลีได้รับความนิยมฉีดกันมาก เริ่มใช้กันมาเกือบสิบปี มีให้เลือกหลายยี่ห้อ ราคาไม่แพง ประสิทธิภาพดี ควรเลือกยี่ห้อที่นำเข้าอย่างถูกต้อง และผ่านการรับรองจาก อย.แล้วเท่านั้นค่ะ
1.) โบท็อกเกาหลี ยี่ห้อ Nabota
โบท็อกเกาหลียี่ห้อ Nabota มีการพัฒนาตัวยามาเป็นเวลานานกว่า30 ปี จนสามารถคิดค้นเทคโนโลยีอันเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะในการผลิตโบท็อก (Patent registration KR: 10-1339349) เป็นโบท็อกเกาหลียี่ห้อเดียวที่ผ่านงานวิจัยรับรองจาก อย.อเมริกา (U.S.FDA approved 2018) ผลิตโดยบริษัท DAEWOONG ความบริสุทธิ์ของตัวยามีสูงถึง 98.7%
โบท็อก Nabota ของเกาหลี ได้รับการพัฒนาให้ออกฤทธิ์ไวซึ่งเป็นจุดเด่นของโบท็อกตัวนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่อยากเห็นผลการฉีดโบท็อกแบบเร่งด่วน ซึ่งจะออกฤทธิ์ไวกว่าโบท็อกเกาหลียี่ห้ออื่น ๆ เล็กน้อย ราคาไม่แพง และช่วยให้ริ้วรอยบนใบหน้าลดลงได้เป็นอย่างดีค่ะ
2.) โบท็อกเกาหลี ยี่ห้อ Aestox
โบท็อกเกาหลี ยี่ห้อ Aestox เป็นโบท็อกที่ในประเทศไทยเริ่มนำมาใช้ได้ไม่นานนัก บริษัท Aestec Pharma เป็นผู้นำเข้ามาในไทยค่ะ ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาประเทศเกาหลีใต้ (KFDA) รวมถึง อย.ไทย (ThaiFDA)
โบท็อกยี่ห้อ Aestox ของเกาหลีตัวนี้ นิยมใช้ฉีดเพื่อลดกราม ปรับรูปหน้าให้เรียว ลิฟต์หน้า ฉีดลดริ้วรอยตามจุดต่าง ๆ บนใบหน้า ให้ความเป็นธรรมชาติ เห็นผลเร็ว ฉีดแล้วออกฤทธิ์ไว
จุดเด่นของ Aestox คือ ตัวยามีความบริสุทธิ์มากถึง 99.5 % ทำให้โอกาสที่จะดื้อยา หรือดื้อโบท็อกลดน้อยลง โบท็อก Aestox ได้มีทำการวิจัยกับทาง รพ.ศิริราช เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดสำหรับชาวไทย มาเป็นระยะเวลาเกินกว่า 5 ปีแล้วค่ะ
ข้อควรระวังของการฉีดโบท็อกอเมริกา ก็คือ คลินิกบางแห่งตั้งราคา Allergan ไว้ถูกจนน่าประหลาดใจ แต่แอบใส่ตัวยาที่เป็นโบท็อกเกาหลีลงไปในขวด Allergan ผลลัพธ์ที่ได้อาจใกล้เคียงกัน ตึงเหมือนกัน แต่เราต้องจ่ายแพงกว่า, ระยะเวลาที่อยู่ได้สั้นกว่า และโอกาสในการดื้อยาที่มากกว่า หรือคลินิกบางที่ใช้โบท็อกปลอมฉีดให้คนไข้แถมยังคิดราคาแพงอีก
ทางที่ดีเราควรหาเพื่อมาช่วยกันแชร์ยูนิตให้ครบทั้งขวดดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นขวดขนาด 50 unit หรือขนาด 100 unit เพื่อที่จะได้เปิดขวดใหม่ทุกครั้งที่เข้าไปฉีดโบท็อกลดริ้วรอย
ก่อนฉีดโบท็อกเราควรศึกษาวิธีสังเกตโบท็อกแท้ยี่ห้อต่าง ๆ , ขอให้แพทย์แกะกล่อง เปิดขวดใหม่ ผสมตัวยาให้เห็นต่อหน้า และหลังจาดฉีดเรียบร้อยแล้วเราสามารถขอกล่องโบท็อกกลับไปตรวจสอบต่อที่บ้านได้อีกด้วย
การฉีดโบท็อกอังกฤษยี่ห้อ Dysport มีข้อควรระวัง คือ จะนับยูนิตไม่เหมือนโบท็อกยี่ห้ออื่น เนื่องจาก 300 unit ของโบท็อกแบรนด์ Dysport จะเทียบเท่ากับ 100 unit ของโบท็อกยี่ห้ออื่นค่ะ
เราจึงต้องระวังไม่หลงไปกับคำโฆษณาของคลินิกบางแห่งที่ว่า โบท็อกอังกฤษ ราคาถูก 100 ยูนิต ซึ่งความเป็นจริงจะเทียบเท่าเพียงแค่ 40 ยูนิตของโบท็อกยี่ห้ออื่น
ข้อควรระวังเกี่ยวกับโบท็อกเกาหลี คือ อย่าเพิ่งหลงเชื่อคำโฆษณาของบางคลินิกที่ว่า โบท็อกยี่ห้อ Nabota หลังจากฉีดแล้วจะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงทันที ไม่เป็นความจริงค่ะ หลังจากฉีดแล้วมีอาการตึง ๆ คือการบวมเข็มจากน้ำเกลือ ถึงฉีดตัวยาโบท็อกยี่ห้ออื่นก็เกิดผลที่คล้ายกันหลังฉีดทันที
วิธีเลือกยี่ห้อโบท็อก ให้เหมาะสมกับปัญหาของแต่ละคนมากที่สุด เนื่องจากแต่ละคนจะมีปัญหาที่ต้องการแก้แตกต่างกันออกไป กรามใหญ่อยากลดกราม ปรับรูปหน้าให้ดูเรียว อยากลดริ้วรอยตีนกาและตามบริเวณต่าง ๆ บนใบหน้า บางคนอยากลดแขน ลดน่อง ลดเหงื่อ จึงแนะนำให้เข้าไปปรึกษาคุณหมอที่มีประสบการณ์ เพื่อช่วยประเมิน และแนะนำโบท็อกยี่ห้อไหนดี ที่จะเหมาะสมกับคนไข้แต่ละเคสมากที่สุดค่ะ