วิธีทำให้หน้าเรียวแต่ละแบบเหมาะกับใคร กล้ามเนื้อที่ใบหน้าเยอะ VS กระดูกโครงหน้าใหญ่ ต่างกันยังไง?

หน้าบาน มีเหนียง ขาดความมั่นใจทุกครั้งที่ต้องถ่ายรูป ลองวิธีทั่วไปแต่ก็ยังไม่ช่วยให้หน้าเรียวขึ้น แบบนี้ต้องพึ่งคลินิกอย่างเดียวรึเปล่า แล้วเลือกทำวิธีไหนถึงได้ผล บทความนี้พร้อมตอบหมดทุกคำถามเกี่ยวกับการทำหน้าเรียว โดยเฉพาะในคลินิก เปรียบเทียบจุดเด่นและความแตกต่างของวิธีธรรมชาติกับหัตถการมความงามให้แล้ว ใครที่กำลังตัดสินใจเลือก สามารถศึกษาข้อมูลได้ตามหัวข้อที่สนใจ

สัดส่วนใบหน้าที่ได้รูปควรเป็นอย่างไร?

แม้ว่าใบหน้าของแต่ละคนจะมีความต่างกัน แต่การมีใบหน้าที่ได้รูปสามารถใช้หลัก Golden Ratio มาใช้วัดสัดส่วนของส่วนต่างๆ ให้สมมาตรกัน ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ได้การยอมรับทั่วโลก ใบหน้าที่ตรงตามสัดส่วนทองคำ มีลักษณะดังนี้

• หน้าทั้ง 2ด้านมีความเท่ากัน
• ใบหน้าแนวตั้งแบ่งออกเป็น 5 ส่วนได้เท่ากัน
• สัดส่วนความกว้างของช่วงหน้าผาก ฐานคิ้วถึงปลายจมูก และปลายจมูกถึงคาง เท่ากันแบบ 1:1:1

ปัจจัยที่ทำให้หน้าไม่เรียว

หน้าไม่เรียว เกิดได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน อาจเป็นที่จุดใดจุดหนึ่ง หรือเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกันก็ได้ ซึ่งวิธีแก้ปัญหาก็ต่างกันไป ควรทำความรู้จักลักษณะรูปหน้าของตัวเองเพื่อหาทางแก้ได้เหมาะสม ซึ่งหน้าเรียวมีสาเหตุมาจาก

• น้ำหนักเยอะ มีไขมันส่วนเกิน
• ขาดการออกกำลังกายที่เหมาะสม ทำให้เกิดการสะสมไขมัน
• เกิดขึ้นตามธรรมชาติ จากสัดส่วนของใบหน้าขาดสมดุล
• มีการแสดงสีหน้าบ่อย ใช้กล้ามเนื้อใบหน้าเยอะ ทำให้กรามมีขนาดใหญ่

อยากมีหน้าเรียวต้องปรับส่วนไหนบ้าง?

หากอยากมีหน้าเรียว ควรสังเกตสัดส่วนบนใบหน้าที่กระทบต่อรูปหน้าแล้วปรับแก้ให้ตรงจุด โดยให้สังเกตได้จาก 3 ตำแหน่งนี้

• กราม กรามที่ด้านข้างกรอบหน้าที่มีความหนาไม่ว่าจากทั้งกระดูกหรือกล้ามเนื้อ ทำให้รูปหน้าไม่เป็นวีเชฟได้ ควรปรับเพื่อให้เกิดความเรียว
• แก้ม บริเวณแก้มจะเป็นตำแหน่งที่มีไขมันค่อนข้างเยอะ ในคนที่มีไขมันมากเกินไปจะทำให้หน้าดูอ้วน ทำให้รูปหน้าไม่ชัด หากลดจุดนี้ได้ก็จะดูสมส่วนยิ่งขึ้น
• เหนียง ไขมันใต้คางหรือเหนียงเป็นจุดที่พบได้บ่อยๆ ในผู้หญิง ส่งผลให้ใบหน้ามีขนาดใหญี่ขึ้น ขาดความเรียวได้รูป

อยากลดขนาดหน้าให้เรียวลง ต้องลงจุดไหน?

นอกจากการดูตำแหน่งบนใบหน้าเพื่อหาจุดที่ควรปรับให้ใบหน้าเรียวขึ้นแล้ว ยังต้องคำนึงสาเหตุที่ทำให้สัดส่วนนั้นๆ มีขนาดใหญ่ ซึ่งควรดู 3 อย่างประกอบกัน

• กระดูกโครงสร้างกระดูกที่มีขนาดใหญ่แบบไม่สมดุลกันบนใบหน้า จะทำให้ขาดความเรียวได้รูป แก้ไขได้ยาก ต้องพึ่งการผ่าตัดศัลยกรรม
• ไขมัน หน้าบาน มีเหนียง มักเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมากที่สุด ซึ่งส่งผลมาจากการที่ใบหน้ามีไขมันส่วนเกิน
• กล้ามเนื้อ การใช้กรามเคี้ยวอาหารสามารถทำให้หน้าใหญ่ขึ้นได้ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องปรับเพื่อให้หน้าเรียวขึ้นเช่นกัน สังเกตได้จากตอนกัดฟันจะมีเนื้อเด้งปูดออกมาด้านข้างกราม

วิธีทำให้หน้าเรียวแบบเห็นผลไว

สำหรับใครที่ลองมาหลายวิธีแล้วแต่ไม่เห็นผลสักที อยากแนะนำให้เลือกพิจารณาจาก 8 วิธีต่อไปนี้ และควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนเพื่อให้ได้วิธีที่เหมาะสมกับตนเอง ซึ่งในบางคนสามารถเลือกทำร่วมกันหลายๆ วิธี เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ไวขึ้นได้อีกด้วย

1. ทำท่ากายบริหารหน้า

การทำท่าบริหารกล้ามเนื้อและไขมันบนใบหน้าจะช่วยให้หน้ากระชับขึ้นได้เล็กน้อย โดยมี 3 ท่าที่ทำได้ง่าย -ดูดแก้มทั้ง 2 ข้างเข้าหากัน ในลักษณะปากจู่ ค้างไว้ 15 วินาทีแล้วคลายออก -อ้าปากกว้างๆ ค้างไว้ 15 วินาที ทำ 10 ครั้งต่อวัน -ออกเสียง อา อี อู ทำรูปปากชัดๆ วันละ 15 ครั้ง เพื่อช่วยกระชับใบหน้า

2. ออกกำลังกาย

คนที่มีน้ำหนักเยอะแล้วส่งผลให้หน้ามีเนื้อแก้มตามมา สามารถเลือกออกกำลังกายคาร์ดิโอเพื่อกลดสัดส่วนได้ ควรออกอย่างน้อย 30 นาที สัปดาห์ละ 2 - 3 ครั้งขึ้นไป แต่วิธีนี้จะไม่ค่อยเห็นผลในคนที่ผอมอยู่แล้วแต่มีแก้ม

3. ควบคุมอาหาร

การกินอาหารที่ไขมันหรือน้ำตาลสูง รวมทั้งขนมขบเคี้ยว หรืออาหารแปรรูป ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นง่าย ซึ่งส่งผลให้สัดส่วนไขมันสะสมบริเวณแก้มและเหนียงได้ด้วย หากลดอาหารประเภทนี้ก็จะช่วยให้การทำหน้าเรียวเห็นผลได้ดีขึ้น

4. ลดอาหารที่มีโซเดียม หรือรสจัด

อาหารรสจัดมีส่วนผสมของเครื่องปรุงเยอะ หรืออาหารที่มีโซเดียมสูง เมื่อกินเข้าไปในปริมาณที่มากเกินพอดีจะทำให้เกิดการบวมได้ง่าย หน้าดูบาน อ้วนจากการบวมน้ำ ควรลดหรือเลี่ยงจะดีที่สุด

5. ฉีดโบท็อกซ์กราม

โบท็อกซ์ เป็นสารที่ออกฤทธิ์ระงับการทำงานของกล้ามเนื้อแบบชั่วคราว สามารถลดขนาดกรามที่ใหญ่ให้เล็กลงได้ การฉีดโบท็อกซ์ 1 ครั้งจะคงสภาพไว้ได้นาน 5 - 6 เดือน การฉีดโบท็อกซ์ควรฉีดในคลินิกที่ไว้ใจได้เท่านั้น เพราะต้องฉีดกับแพทย์ และจะได้มั่นใจว่าตัวยาเป็นของแท้ ไม่เช่นนั้นอาจเสี่ยงเกิดความผิดพลาดได้

6. ฉีดเมโสแฟตสลายไขมัน

สำหรับคนที่มีแก้มหรือมีเหนียง ส่งผลให้หน้าใหญ่ กรอบหน้าไม่ชัด การเลือกฉีดเมโสแฟตจะตอบโจทย์ได้ค่อนข้างดี เนื่องจากช่วยลดไขมันเฉพาะส่วนได้ เห็นผลไวกว่าการออกกำลังกายเพียงอย่างเดียว ซึ่งการฉีดสลายไขมัน 1 ครั้ง จะเห็นผลลัพธ์ได้นานประมาณ 3 เดือน ควรทำควบคู่กับการควบคุมอาหาร

7. ทำ Sygmalift Hifu

การใช้เทคโนโลยีทันสมัยอย่างคลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์ที่มีความเข้มข้นสูงมาใช้ในการส่งความร้อนไปยังโครงสร้างผิว เพื่อให้เกิดการผลัดเซลล์ สร้างคอลลาเจนขึ้นใหม่ ไขมันที่อยู่ในชั้นผิวก็จะลดลง กรอบหน้าชัดขึ้น เป็นวิธีที่ดีในการยกกระชับผิว ทำ 1 ครั้ง สามารถคงสภาพได้นาน 6 - 12 เดือน แต่ควรทำอย่างต่อเนื่อง 3 ครั้งขึ้นไปจึงจะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน

8. ผ่าตัดศัลยกรรมหน้าเรียว

สำหรับคนที่มีปัญหาในส่วนโครงสร้างกระดูกที่ไม่สมมาตร คางสั้น หรือผิดรูป แล้วต้องการปรับรูปหน้าแบบถาวรอาจต้องพิจารณาการผ่าตัดศัลยกรรม ซึ่งสามารถแก้ไขได้ทั้งคาง กราม โหนกแก้ม แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่มากกว่า ต้องศึกษาอย่างดีก่อนตัดสินใจ หากปัญหาหน้าบาน เพราะไขมันหรือกล้ามเนื้อเยอะ แนะนำให้เริ่มด้วยการทำหัตถการความงามจะปลอดภัยกว่า

วิธีธรรมชาติ กับ หัตถการความงาม ได้ผลลัพธ์ต่างกันมั้ย?

แน่นอนว่าการทำหน้าเรียวแต่ละวิธีได้ผลลัพธ์ที่ต่างกัน เพราะมีขั้นตอน เทคนิค และช่วยแก้ปัญหาคนละจุด หากเทียบวิธีธรรมชาติกับการทำหัตถการ ก็เห็นผลต่างกันอย่างแน่นอน โดยการทำหัตถการความงามจะช่วยแก้ไขตรงจุดแล้วปรับรูปหน้าได้ชัดเจนทันทีหลังทำ จึงได้ความนิยมมากกว่า ในขณะที่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้ชีวิต หรือออกกำลังกายจะเห็นผลช้า ต้องใช้เวลานานกว่าผลลัพธ์จะเริ่มชัดเจน

แนะนำคลินิกทำหน้าเรียวที่ดี ควรมีคุณสมบัติอย่างไร?

• คลินิกเปิดอย่างถูกกฎหมาย เป็นที่รู้จัก น่าเชื่อถือ
• คลินิกให้บริการโดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์สูง
• คลินิกเลือกใช้ตัวยาหรือเครื่องที่ใช้ในการทำหัตถการที่ได้มาตรฐาน ของแท้เท่านั้น มีความปลอดภัยสูง
• คลินิกมีรีิวให้อ่านก่อนเลือกรับบริการ ศึกษาข้อมูลและเตรียมตัวได้พร้อมมากขึ้น
• สามารถเดินทางไปได้สะดวก มีหลายสาขาให้เลือก
• ให้บริการด้วยความใส่ใจทุกขั้นตอน คอยอำนวยความสะดวกเป็นอย่างดี

สรุป

การทำให้หน้าเรียวแต่ละวิธีก็ให้ผลลัพธ์ไม่เหมือนกัน ควรประเมินปัญหาของตัวเองก่อนที่จะเลือกทำ เพื่อให้ได้วิธีที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งการเลือกทำหน้าเรียวกับคลินิกเองก็จะช่วยเร่งผลลัพธ์ให้ชัดเจนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น หากเลือกคลินิกที่ดีก็จะยิ่งได้ความมั่นใจ ลดผลข้างเคียงหรือผลลัพธ์ที่ผิดคาดไปได้