ชีวิตนี้ ....ขอเลือกเอง
ชีวิตของเราแต่ละคนมักต้องเดินมาสู่ทางแยกที่จำเป็นต้องเลือก จะไปซ้ายดี ขวาดี หรือเดินตรงต่อไป ล้วนแล้วแต่ต้องเลือกโดยไม่อาจรู้ได้เลยว่า ผลของการตัดสินใจนั้นจะนำพาชีวิตเราไปในแบบใด อาจดีกว่าเดิม แย่กว่าเดิม หรือไม่ต่างจากเดิม ก็ไม่มีวันรู้ได้เพราะคืออนาคตที่เราไม่อาจล่วงรู้ว่าผลของการตัดสินใจนั้นจะส่งให้ชีวิตของเราไปในทิศทางไหน แต่ฉันมีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า สิ่งที่เลือกแล้ว สิ่งที่ทำแล้ว ล้วนดีเสมอ แม้ว่าผลของการเลือกนั้นอาจทำให้ผิดหวังเสียใจได้ในกาลต่อมา แต่ก็ถือว่าได้เลือก ได้เรียนรู้ ได้ประสบการณ์ และได้บทเรียน ไม่มีอะไรเสียเปล่า อย่าโทษ อย่าตำหนิตัวเอง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนดีเสมอ
... อักษราลัย ...
ชมกำลังอยู่ในห้องนอนเล็กของบ้านหลังใหญ่ ห้องนอนห้องนี้อยู่บนชั้นสองของบ้าน มองออกไปนอกหน้าต่างก็จะเห็นต้นมะม่วงหลายต้นอยู่เต็มสวน หูก็ได้ยินเสียงนกนานา และแมลงต่าง ๆ วันนี้แสงแดดค่อนข้างจะร้อนแรง การได้นอนตากแอร์เย็นฉ่ำ จิบกาแฟเย็น ๆ นั่งขีดเขียนงานของครูช่างเป็นกิจกรรมสุดโปรดของชมเลย
ลูกชายกำลังเล่นอยู่ข้างล่างกับเพื่อน ๆ ได้ยินเสียงหัวเราะหยอกล้อกันสนุกสนาน ชมอยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งจังเลย ความไร้เดียงสาช่างเป็นสิ่งที่น่าถวิลหา ในวันนี้ที่ได้รู้เห็นความเป็นไปของโลกที่มืดหม่นไม่สวยงามเหมือนที่เคยจินตนาการเมื่อเยาว์วัย
ชมเช่าบ้านหลังนี้อยู่มาเกือบสิบปีแล้วสินะ จำได้ว่าครั้งแรกที่มาดูบ้านเช่าหลังนี้รู้สึกกลัวมาก บ้านขนาดใหญ่หนึ่งร้อยห้าสิบตารางวา มีต้นไม้ใหญ่ปลูกอยู่รอบบ้าน กิ่งไม้พาดสายไฟระเกะระกะอยู่เต็มไปหมด ข้างบ้านเป็นต้นมะม่วง มีทั้งน้ำดอกไม้ โชคอนันต์ อกร่องและเขียวเสวย หน้าบ้านมีต้นชมพู่แก้มแหม่ม อยู่สี่ห้าต้น ออกลูกดกเต็มต้น เสียดายที่ไม่สามารถเก็บกินได้เพราะหนอนและแมลงชอนไชเต็มไปหมด ร่วงเน่าเต็มพื้นแทบจะหาที่เดินไม่ได้ ไหนจะใบไม้ที่ร่วงทับถมกันอีก ดูก็รู้ว่าไม่มีใครเก็บกวาดทำความสะอาดมานานแล้ว
บ้านหลังนี้อยู่ติดกับบ้านเช่าชั้นเดียวหลังเก่าของชม ชมเช่าอยู่กับแฟนหนุ่มชาวเบลเยียม เราเช่าอยู่มาได้เกือบสี่ปีก็เกิดมีปัญหาบางอย่างกับเจ้าของบ้าน พอดีชมเห็นบ้านหลังนี้ติดประกาศให้เช่าก็เลยสนใจ นัยว่าจะได้ไม่ยุ่งยากลำบากมากนักในการขนย้ายข้าวของ เพราะตอนนั้นชมท้องได้สองเดือนและเป็นท้องแรกด้วย แพ้ท้องอย่างหนักอีกต่างหาก การย้ายบ้านเลยดูเป็นอะไรที่ไม่ใช่จังหวะที่ดีสักเท่าไหร่
ก่อนหน้าที่จะมาอยู่กินกันฉันสามีภรรยากับแฟนหนุ่มคนนี้และมีพยานรักร่วมกัน ชมคบหาดูใจอยู่กับหนุ่มใหญ่คนอังกฤษมาได้ร่วมสองปี การคบหากันของเราไม่ได้เป็นความสมัครใจของชมเลย เป็นความเรียกร้องต้องการแกมบังคับของผู้หลักผู้ใหญ่ที่ชมก็ไม่สามารถขัดได้ ตอนนั้นชมก็ไม่ได้มีใครด้วย คนนี้ก็เข้ามาได้จังหวะพอดี อายุเราต่างกันมาก ชมอายุยี่สิบแปด ส่วนเขาสี่สิบแปดปี เขาเป็นผู้ชายรูปร่างผอมสูง เป็นนักธุรกิจทำงานด้านการเงิน เป็นคนจิตใจดีงามและอารมณ์ดีมาก เขาปฏิบัติกับชมเหมือนชมเป็นเจ้าหญิงเลย เขามาหาชมที่เมืองไทยปีละสามสี่ครั้ง ดูแลชมเรื่องการเงินการทองอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง อยากได้อะไรไม่มีไม่ได้ เงินสดก็มีใช้ไม่ขาดมือ เงินในบัตรเดบิตก็เหลือเฟือ แถมเขายังทำบัตรเครดิตของธนาคาร HSBC Bank ให้ด้วยเอาไว้ใช้ยามฉุกเฉิน แต่ชมไม่เคยได้มีโอกาสใช้เลย แค่ใช้เงินสดในมือกับบัตร เดบิตก็เกินพอแล้วค่ะ จนวันที่ตัดสินใจทิ้งเขามา ชมเลยเอากรรไกรตัดบัตรนั้นทิ้งไป
คบหาดูใจกันได้เกือบสองปี เขาเลยคุกเข่าขอชมแต่งงาน “Will you marry me?” ชมอยากตอบ “No, I won't” มาก เสียงนี้ดังก้องอยู่ในใจ แต่เสียงที่เปล่งออกมาเบาหวิวนั่นคือ “Yes, I will” วินาทีที่เขาสวมแหวนเพชรสนนราคาเกือบแสนนั้น น้ำตาชมไหลอาบแก้ม เขาคงคิดว่าเป็นน้ำตาแห่งความปลื้มปริ่มเขาเลยคว้าตัวที่ผอมบางของชมเข้าไปกอดเอาไว้แนบอก แต่ไม่ใช่ค่ะ มันไม่ใช่น้ำตาแห่งความชื่นชมยินดี มันคือน้ำตาแห่งความเสียใจอย่างสุดซึ้ง
นี่เราต้องแต่งงานกับคนนี้จริง ๆ หรือ เรานึกภาพเราเป็นเจ้าสาวไม่ออกเลย ภาพเจ้าสาวใส่ชุดสีขาวนวลที่สาว ๆ เกือบทุกคนใฝ่ฝัน มีคุณพ่อจูงมือเข้าโบสถ์ที่ได้รับการตกแต่งด้วยดอกไม้หลากสีสันสวยงาม มีเจ้าบ่าวรออยู่ข้างหน้าลานพิธีพร้อมศาสนาจารย์ ผู้ทำพิธี เจ้าบ่าวของเราต้องไม่ใช่คนนี้สิ...
คู่หมั้นหนุ่มบินกลับอังกฤษไปแล้ว พร้อมบอกว่า
“อีกสองเดือนเราก็จะได้แต่งงานกันแล้วนะ ผมรอไม่ไหวแล้วที่รัก”
ชมยังคงมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ มันเหมือนฝันนะ แต่มันจริงมากเพราะแหวนหมั้นเจ้ากรรมที่สวมอยู่ที่นิ้วนางข้างซ้ายเป็นพยาน
ผ่านไปไม่นานเพื่อนรักคนหนึ่งชวนออกไปกินข้าวที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ชมก็ไปตามนัดและไม่ลืมที่จะถอดแหวนหมั้นเอาไว้ ก็ไม่ได้อยากป่าวประกาศให้โลกรู้นี่นะว่ามีคู่หมั้นแล้ว
ณ ที่ร้านอาหารแห่งนั้นโชคชะตาก็เล่นตลกกับชม ชมได้เจอครูสอนสนทนาภาษาอังกฤษที่ขาดการติดต่อไปเกือบสองปี เขาเป็นคนเบลเยียมอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับชมเลย ชมไปเรียนภาษาอังกฤษตอนที่ย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองใหม่ ๆ จำได้ครั้งแรกที่เจอเขาหัวใจเต้นแรงมาก แทบจะทะลุออกจากอกเลย เขาเป็นผู้ชายรูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาหล่อเหลาระดับดาราฮอลลีวูดก็ว่าได้ ตาสีน้ำตาลเข้ม ผมหยักศกสีดำ เป็นคนเบลเยียมที่หน้าตาเหมือนคนอิตาลีสเปคชมเลย
ชมต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการเรียน เพราะหวั่นไหวทุกครั้งที่เจอหน้าครู แต่ก็ต้องเก็บอาการเอาไว้อย่างมิดชิดเพราะครูมีเจ้าของหัวใจแล้ว
เจอกันคราวนี้ชมมองเห็นเขาก่อนก็รีบเดินเข้าไปทัก หัวใจยังเต้นรัวเร็วเหมือนครั้งแรกที่ได้เจอ แสดงว่าเกือบสองปีที่ผ่านมาความรู้สึกที่มีให้เขามันไม่เคยจางไปเลย เขาดูมีความสุขมากที่ได้เจอชม รีบบอกก่อนเลยว่า เขาเลิกกับแฟนคนนั้นแล้ว เลิกกันมาได้หลายเดือนแล้วเพราะเขาจับได้ว่าแฟนคบซ้อน ตอนนี้โสดสนิท หัวใจเจ้ากรรมเต้นถี่ยิ่งกว่าเดิมอีก
ไหน ๆ เราก็จะแต่งงานในอีกสองเดือนนี้แล้ว สารภาพไปเลยดีกว่าว่าเราคิดยังไงกับเขา ก็รู้แหละว่าเขาไม่ได้มีใจให้เราหรอก รวบรวมความกล้า พอสารภาพรักกับเขาไป เขาก็ตอบมาว่าเขาก็รู้สึกไม่ต่างกันเลย
ไปมาหาสู่กันได้ประมาณหนึ่งอาทิตย์ ชมก็สารภาพอีกเรื่อง ก็เรื่องที่ชมมีคู่หมั้นแล้วและกำลังจะแต่งงานนั่นแหละค่ะ เขาตกใจมาก คุกเข่าลงต่อหน้าชม เขาไม่ได้ขอแต่งงานนะคะ ขอไม่ให้ชมแต่งงาน ให้ชมถอนหมั้น ให้ชมเลือกเขา เขาบอกว่าเขาเป็นแค่ครูสอนคณิตศาสตร์ต๊อกต๋อย แต่เขามั่นใจว่าเขาจะดูแลชมได้ ไม่หรูหราฟู่ฟ่าแบบที่เคยแน่นอน แต่จะไม่พาอดตายหรอก “เรารักกัน เราก็ควรอยู่ด้วยกัน ชมไม่ควรไปแต่งงานกับคนที่ผู้ใหญ่ต้องการ ชมต้องฟังเสียงหัวใจของชมสิ ชีวิตชม...ชมมีสิทธิ์เลือกเอง” เขาบอกชมแบบนี้
ชมหยิบมือถือขึ้นมากดโทรออก โดยมีเขานั่งลุ้นอยู่ข้าง ๆ ตอนนี้เมืองอังกฤษคงประมาณตีสามกว่า ๆ คู่หมั้นหนุ่มใหญ่ของชมงัวเงียขึ้นมารับสาย เขาตกใจว่าชมมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจอะไรไหมถึงได้โทรมาตอนนี้ ชมบอกข่าวร้ายเขาไป เสียงร้องไห้ดังมาตามสาย....
เช้าวันต่อมาชมกับแฟนเดินทางไปที่ธนาคารแห่งหนึ่งด้วยกันเพื่อโอนเงินหนึ่งล้านบาทคืนให้อดีตคู่หมั้น นายธนาคารบอกชมว่าเงินนี้เป็นของชม มันอยู่ในบัญชีชมถูกต้องตามกฎหมาย ชมไม่จำเป็นต้องโอนคืน ชมบอกเขาไปว่าแค่ถอนหมั้น หนีการแต่งงาน ทำให้หัวใจผู้ชายดี ๆ คนหนึ่งแตกสลาย ชมก็รู้สึกผิดเหลือประมาณแล้ว เงินนี้เขาให้มาเพื่อหาซื้อที่เพื่อที่เราจะสร้างเรือนหอ ในเมื่อชมถอนหมั้นแล้ว ชมก็ไม่มีสิทธิ์เก็บเงินนี้เอาไว้....ยืนยันขอส่งคืนค่ะ
ชมกับพ่อของลูกย้ายเข้ามาอยู่บ้านเช่าหลังใหม่นี้เมื่อสิบปีที่แล้ว ตอนย้ายเข้ามาชมแพ้ท้องหนักมาก คงเพราะแพ้กลิ่นสีทาบ้าน เราได้ให้ช่างมาซ่อมแซมบ้านขนานใหญ่ เพราะบ้านมันทรุดโทรมมาก ที่เรากล้าลงทุนซ่อมก็ด้วยหลายเหตุผล เหตุผลแรกก็เพราะมันคงจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเพราะค่าเช่าถูกมากเทียบกับขนาดตัวบ้าน บริเวณบ้านและทำเลที่ตั้งกลางใจเมือง เหตุผลต่อมาก็คือเจ้าของบ้านเขาทำธุรกิจให้คนเช่าบ้าน ไม่มีทางที่เขาจะขอบ้านคืน เราสามารถอยู่ไปได้ตลอดจนกว่าเราจะย้ายเข้าบ้านของเราเอง เราวางแผนจะซื้อที่ ออกแบบบ้านเอง บ้านหลังนี้จะเป็นบ้านเช่าหลังสุดท้ายของเราค่ะ
ห้าปีที่แล้วพ่อของลูกย้ายออกไป ความรักของเรามาถึงทางตัน เราอยู่กินกันมาทั้งหมดเก้าปี ความรักของเรามันถึงทางตันตั้งแต่ปีที่หกแล้ว เพียงแต่ชมเฝ้าหลอกตัวเองว่าทุกอย่างมันจะดีขึ้น นอกจากมันจะไม่ดีขึ้นแล้ว มันยังเลวร้ายลงกว่าเดิมอีก มันได้เวลาต้องเลือกทางเดินใหม่แล้ว
ชีวิตเรา...เราเลือกเองได้ เลือกผิดก็เลือกใหม่ได้ไม่ใช่หรือ ขอแค่มีความกล้า กล้าที่จะก้าวไป กล้าที่จะออกมา แล้วมุ่งหน้าต่อไป
ใครต่อใครบอกกับชมว่า ทำไมไม่อยู่ต่อ ทำไม่ไม่ทำเพื่อลูก คำตอบของชมคือ “ลูกต้องการแม่ที่มีความสุข” ลูกไม่ได้ต้องการพ่อแม่ที่อยู่ด้วยกันแล้วเหมือนขมิ้นกับปูน เหมือนหมากับแมว เหมือนน้ำมันกับไฟ สิ่งที่ชมทำ สิ่งที่ชมเลือก....ชมก็ทำเพื่อลูกค่ะ