ยาคุมกำเนิด เพื่อนของคุณผู้หญิงที่ไม่พร้อมมีบุตร
เพื่อการคุมกำเนิดด้วยการคุมกำเนิดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้หญิงเรานั้นน่าจะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับยาคุมกำเนิดก่อนที่จะมีการใช้ เพราะจะได้รู้ว่าควรใช้ประเภทไหน เมื่อไร และใช้อย่างไรเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ และเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงอาการข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์
ยาคุมกำเนิด (Birth Control Pill)
ยาเม็ดคุมกำเนิด คือ ยาที่มีส่วนประกอบของฮอร์โมนเพศหญิง คือ ฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรน ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ โดยยับยั้งการตกไข่เปลี่ยนแปลง เยื่อบุโพรงมดลูกให้มีสภาพไม่เหมาะต่อการฝังตัวของตัวอ่อน และทำให้มูกที่ปากมดลูกมีความเป็นด่างเหนียวข้นขึ้น ทำให้อสุจิไม่สามารถเข้าไปปฏิสนธิกับไข่ได้ รวมทั้งส่งผลต่อการเคลื่อนไหวท่อนำไข่ ทำให้ไข่ไม่สามารถเดินทางไปที่มดลูก
กลไกการออกฤทธิ์ของยาคุมกำเนิด
ยาคุมกำเนิดจะออกฤทธิ์ต่อการทำงานของอวัยวะสืบพันธุ์ภายในร่างกายของผู้หญิงดังจะกล่าวถึงข้างล่าง
เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์
- มีผลต่อผนังมดลูก ทำให้ผนังมดลูกบางจนตัวอ่อนไม่สามารถฝังตัวได้
- ทำให้มีการตกไข่ หรือมีผลในการยับยั้งกระบวนการก่อนเกิดการปฏิสนธิ (fertilization)
- ทำนำไข่เคลื่อนไหวมาก ทำให้ไข่ที่ถูกผสมไม่ทันฝังตัวเกิดมูก หรือเมือกที่ปากมดลูก ทำให้ปากมดลูกมีความเหนียวข้นส่งผลให้อสุจิเคลื่อนผ่านเข้าไปได้ยากขึ้น
ยาเม็ดคุมกำเนิดมีกี่ประเภท
ยาเม็ดคุมกำเนิดมีอยู่ 3 ประเภท คือ ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยวและ ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฉุกเฉิน
- ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม (Combined Oral Contraceptive – COC) ประกอบด้วย ฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสโตเจนรวมกันในเม็ดเดียว มีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์สูงมาก หากกินอย่างสม่ำเสมอ ผลดีอีกอย่างก็คือ ประจำเดือนจะมาตรงเวลาอย่างสม่ำเสมอ และอาจมีอาการปวดประจำเดือนน้อยลงได้
- ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยว (Progestrogen-only pills – POP) ประกอบด้วยฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเพียงอย่างเดียว ยาคุมชนิดนี้มี 28 เม็ดในหนึ่งแผง กินได้ทุกวันไม่ต้องหยุด และเมื่อกินหมดแผงแล้วก็สามารถกินแผงใหม่ต่อได้เลย ยาคุมชนิดนี้ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อลดอาหารข้างเคียงจาดฮอร์โมนเอสโตรเจน
- ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฉุกเฉิน (Emergency contraception pill) จะใช้เฉพาะในยามฉุกเฉิน เช่น ถุงยางแตก หรือ รั่ว หรือโดนข่มขืน เป็นต้น
ความแตกต่างของยาคุมกำเนิดกับยาคุมฉุกเฉิน
ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินนั้นมักใช้ในเวลาฉุกเฉิน เช่น มีเพศสัมพันธ์แล้วไม่ได้ป้องกัน ถุงยางอนามัยรั่ว ฯลฯ โดยการกินยาคุมฉุกเฉินควรกินให้เร็วที่สุด และไม่ควรกินเกิน 72 ชั่วโมงหลังจากมีเพศสัมพันธ์ และที่สำคัญควรกินยาคุมฉุกเฉินเม็ดที่สองหลังจากเม็ดแรกไม่เกิน 12 ชัวโมง นอกจากนี้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินจะมีฮอร์โมนขนาดสูง จึงไม่ควรนำมาใช้เป็นยาเม็ดคุมกำเนิดตามปกติ
ในขณะที่ยาคุมกำเนิดแบบธรรมดา จะเหมาะกับคนที่คุมกำเนิดอยู่แล้ว หรือต้องการคุมประจำเดือนให้มาปกติ ซึ่งการกินยาคุมแบบธรรมดานั้น ต้องกินทุก ๆ วันเวลาเดิมจนหมดแผง เพื่อให้ได้ผลมากที่สุด
ยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนรวม
ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม จะเป็นยาเม็ดคุมกำเนิดที่มีส่วนประกอบของฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนในปริมาณและชนิดที่ต่างกัน ยิ่งปริมาณของฮอร์โมนมากยิ่งคุมกำเนิดได้ดี เป็นชนิดที่นิยมมากที่สุด ยาจะยับยั้งกระบวนการตกไข่ในเพศหญิง สร้างเมือกที่บริเวณปากมดลูก ทำให้สเปิร์มเข้าไปผสมกับไข่ได้ยากขึ้น และทำให้ผนังมดลูกบาง เพื่อไม่ให้ไข่ฝังตัวที่ผนังมดลูกได้สำเร็จ
ยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนรวม สามารถแบ่งออกเป็น 3 ชนิด
1.Monophasic combined pill ประกอบด้วยเอสโตรเจน และ โปรเจสโตเจน ในขนาดคงที่ทุกเม็ด โดยมี 21 เม็ด ส่วนยาคุมชนิด 28 เม็ดนั้น อีก 7 เม็ดจะเป็นวิตามิน แป้ง
2.Biphasic combined pill ประกอบด้วยเอสโตรเจน และ โปรเจสโตเจน ในปริมาณที่ต่างกัน 2 ระดับ ในแต่ละช่วงของรอบเดือน เพื่อเลียนแบบการหลั่งฮอร์โมนตามธรรมชาติของผู้หญิง
3.Triphasic combined pill ประกอบด้วยเอสโตรเจน และ โปรเจสโตเจนในอัตราส่วนที่คล้ายกับธรรมชาติของฮอร์โมนในรอบเดือนปกติของผู้หญิง
ยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนเดี่ยว
ยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนเดี่ยว คือ ยาคุมที่มีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนอย่างเดียว มีฤทธิ์คุมกำเนิดสูงกว่า 99% หากกินตรงเวลาทุกวัน เหมาะกับคนที่แพ้ฮอร์โมนเอสโตรเจน มีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ
1.ชนิดฮอร์โมนโปรเจสโตเจนขนาดต่ำเท่ากันทุกเม็ด (mini pill)
2.ชนิดฮอร์โมนโปรเจสโตเจนขนาดสูง คือ ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน postcoital pill หรือ emergency pill
ยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนเดี่ยว จะทำให้เกิดการสร้างเมือกหนาบริเวณปากมดลูก ป้องกันไม่ให้สเปิร์มเข้าไปผสมกับไข่ ส่งผลต่อระบบท่อนำไข่ ให้ไข่ผ่านเข้าไปในท่อนำไข่ได้ยากขึ้น และทำให้ผนังมดลูกบางจนไม่เอื้อต่อการฝังตัวของไข่ที่ผสมแล้ว อีกอย่างยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนเดี่ยวถูกแนะนำให้ใช้ในกรณีของผู้หญิงที่ให้นมบุตร และผู้มีปัญหาสุขภาพอย่างลิ่มเลือดอุดตัน
ความแตกต่างยาคุมกำเนิดแบบ 21 เม็ด กับ 28 เม็ด
ยาคุมกำเนิดแบบ 21 เม็ด และ 28 เม็ดนั้น มีทั้งแบบชนิดฮอร์โมนเดี่ว และ ฮอร์โมนรวม สำหรับผู้หญิงที่แพ้ฮอร์โมนเอสโตรเจน หรือมีผลข้างเคียงมากเกิน ก็ควรเลือกกิน ฮอร์โมนเดี่ยวแทน
ยาคุมกำเนิดแบบ 21 เม็ด
ยาคุมกำเนิดแบบนี้เป็นยาคุมชนิดฮอร์โมนรวม ยาแต่ละเม็ดจะประกอบด้วยฮอร์โมน 2 ชนิด ทุกเม็ดจะมีตัวยาทั้งหมด (ไม่มีเม็ดแป้ง) ให้กินยาในเวลาเดียวกันทุกวัน ๆ ละ 1 เม็ด จนหมดแผงแล้วหยุด 7 วันก่อนที่จะเริ่มกินแผงใหม่ แต่หลังจากหยุดยาประมาณ 1-3 วัน จะเริ่มมีประจำเดือน
ยาคุมกำเนิดแบบ 28 เม็ด
ยาคุมกำเนิดแบบนี้จะมีตัวยาฮอร์โมนจำนวน 21 เม็ด และไม่มีตัวยาหรือที่เรียกว่า “เม็ดแป้ง” อีก 7 เม็ดหรือเรียกว่าชนิดแผง 21/7 เม็ด ด้านหลังของแผงจะมีตัวเลขกำกับอยู่ ทั้งเม็ดแป้งจะมีสีที่แตกต่างจากเม็ดที่มีตัวยาอย่างชัดเจน ให้กินยาในเวลาเดียวกันทุกวัน ๆ 1 เม็ด จนหมดแผงแล้วขึ้นแผงใหม่ต่อเนื่องกันไป
แนะนำวิธีกินยาคุมฉุกเฉินที่ถูกต้อง
สำหรับการใช้ยาคุมกำเนิดครั้งแรก หรือการเริ่มใช้อีกครั้งหลังหยุดคุมกำเนิดไประยะหนึ่ง ควรเริ่มกินภายในวันที่ 1-5 ของช่วงที่มีประจำเดือน เพื่อให้มั่นใจว่าไม่ได้ตั้งครรภ์อยู่ เพราะอาจเสี่ยงทำให้ตัวอ่อนทารกพิการได้หากกำลังตั้งครรภ์อยู่พอดี
วิธีการกินยาคุมกำเนิดที่ถูกต้อง ควรดูวันที่ตามจริงและวันที่บนแผงอย่างละเอียด ซึ่งบนแผงยาจะระบุวันไว้ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันอาทิตย์ หากวันที่จะเริ่มกินยาเม็ดแรกเป็นวันอังคารก็ให้แกะยาเม็ดแรกของวันอังคารมากิน แล้วกินต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหมดแผง ที่ต้องให้กินแบบนี้เพื่อจะได้ไม่หลงลืมว่าในวันนั้น ๆ กินยาไปแล้วหรือยัง
ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน ควรใช้ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น เช่น ในกรณีถูกข่มขืน หรือมีเพศสัมพันธ์โดยที่ไม่ตั้งใจการกินยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน ไม่ควรเกิน 3 วัน หรือ 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ และไม่ควรกินมากกว่า 2 แผง (4 เม็ด) ภายในรอบเดือนเดียว เนื่องจากยาจะส่งผลให้ระบบสืบพันธุ์สร้างฮอร์โมนผิดปกติรวมถึงกระตุ้นเซลล์มะเร็งได้ ยาคุมฉุกเฉินสามารถป้องกันการตั้งท้องโดยไม่พร้อมได้ประมาณ 80-90%
ประโยชน์ - ข้อจำกัดของการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด
วิธีการคุมกำเนิดที่นิยมมากที่สุดคงเป็น การกินยาเม็ดคุมกำเนิด เพราะกินง่ายและราคาไม่แพง แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ควรที่จะทำความเข้าใจเสียก่อนถึงส่งที่เราเลือก เพื่อจะได้ใช้งานได้อย่างถูกวิธีและมีประสิทธิภาพมากที่สุดอีกด้วย
ประโยชน์ของการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด
ยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการคุมกำเนิดระยะสั้น (เดือน-ไม่กี่ปี) และไม่ต้องการใช้วิธีที่เจ็บตัว นอกจากนี้ยังหาซื้อได้ง่าย ใช้ง่าย และราคาไม่แพงอีกด้วยยาเม็ดคุมกำเนิด เหมาะกับผู้หญิงที่ไม่ชอบวิธีการคุมกำเนิดรูปแบบอื่น ๆ ที่ต้องใส่หรือฝังภายในร่างกายและช่วยบรรเทาความรุนแรงของกลุ่มอาการประจำเดือนได้ด้วย การใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดยังสามารถป้องกันการท้องก่อนวัยอันควร ทั้งยังช่วยให้คู่สมรสที่ยังไม่พร้อมมีบุตรวางแผนครอบคร้วได้อีกด้วย สามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกและมะเร็งรังไข่ได้เล็กน้อย ยาเม็ดคุมกำเนิดอาจช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
ข้อจำกัดของการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด
ถ้าต้องการให้ได้ประสิทธิภาพก็ต้องกินยาเม็ดคุมกำเนิดให้ตรงเวลาและเป็นประจำทุกวัน
ประสิทธิภาพของยาคุมกำเนิด
ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการตั้งครรภ์ ถ้าหากใช้ยาสม่ำเสมอและใช้อย่างถูกต้อง จะมีอัตราล้มเหลวรายปี 0.3% เทียบกับอัตราล้มเหลวรายปี 9% หากใช้อย่างไม่สม่ำเสมอหรือใช้อย่างไม่ถูกต้อง แต่อัตราล้มเหลวนี้ถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับวิธีคุมกำเนิดแบบอื่น ๆ เช่น การใช้ถุงยางอนามัยหรือ การกินยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน
ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของยาคุมกำเนิด
ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพของยาเม็ดคุมกำเนิด มี
1.การใช้ยาคุมกำเนิดแบบไม่สม่ำเสมอและใช้อย่างไม่ถูกวิธี
2.การใช้ยาอื่นร่วมกับยาคุมกำเนิด อาจทำให้อาการไม่พึงประสงค์เกิดมากขึ้นได้
3.ผู้หญิงที่อ้วนเกินที่กินยาคุมกำเนิดจะเสี่ยวต่อการตั้งครรภ์มากกว่าคนที่ไม่ได้อ้วนเกิน
ข้อห้ามในการใช้ยาคุมกำเนิด
การใช้ยาคุมกำเนิดนั้น หญิงผู้ใช้ควรต้องระวังว่า เข้าข่ายต้องห้ามในการใช้ยาคุมกำเนิดหรือไม่ เช่น
- ห้ามใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดในผู้ป่วย Thrombophlebitis, Thromboembolic, Cerebrovascular disease และผู้ที่เคยมีประวัติเป็นโรคนี้มาก่อน
- ห้ามใช้ในผู้ที่เป็นมะเร็งหรือคาดว่าจะเป็นมะเร็งที่เต้านม หรือ Estrogen dependent tumor อื่นๆ
- ห้ามใช้ในวัยรุ่นที่ Epiphyseal closure ยังไม่สมบูรณ์
- ไม่ควรใช้ในผู้ที่มี vaginal bleeding โดยไม่ทราบสาเหตุ
- ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์
- หลีกเลี่ยงการใช้ หรือระมัดระวังการใช้ในผู้ป่วยโรคตับ, asthma, eczema, migraine, diabetes, hypertension และ convulsive disorder
ใครบ้างที่ไม่ควรใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด
ผู้หญิงที่ไม่ควรใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด
- ผู้หญิงอายุ 35 ปีขึ้นไปที่สูบบุหรี่ และผู้ที่กำลังรับการรักษาหรือกินยาอื่นอยู่
- ผู้หญิงที่ยังไม่เคยมีประจำเดือน และสตรีสูงอายุที่หมดประจำเดือนแล้ว
- ผู้ที่เคยเป็นมะเร็งเต้านม หรือกำลังเป็นมะเร็งเต้านม
- ผู้ที่มีเลือดออกทางช่องคลอดโดยไม่รู้สาเหตุ
- ผู้ที่เป็นหรือเคยเป็นไมเกรนชนิดรุนแรง
- ผู้ที่แพ้ตัวยาสำคัญหรือส่วนประกอบอื่นในยาคุมกำเนิด ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการเป็นผื่นได้
- ผู้ที่เป็นโรคตับ หรือ โรคไต
- ผู้ที่สงสัยว่าตั้งครรภ์
- ผู้ที่มีอาการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการกินยาคุมกำเนิด
เมื่อตัดสินใจเลือกวิธีกินยาเม็ดคุมกำเนิดในการป้องกันการตั้งครรภ์แล้ว ก็ควรที่จะต้องรู้ถึงผลข้างเคียงที่อาจจะตามมาด้วย
ผลข้างเคียงยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนรวม
การกินยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมอาจก่อให้อาการไม่พึงประสงค์ต่อไปนี้
- คลื่นไส้ อาเจียน
- เจ็บคัดเต้านม
- ท้องอืด
- ปวดศีรษะ
- มีน้ำสะสมในร่างกายมาก (ตัวบวมน้ำ)
- มีเลือดคล้ายประจำเดือนออกกะปริบกะปรอย
- เสี่ยงเกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ มะเร็งเต้านม
ผลข้างเคียงยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนเดี่ยว
หากกินยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนเดี่ยว มีความน่าจะเป็นที่จะเกิดผลข้างเคียง คือ
- มีเลือดไหลก่อนรอบประจำเดอน ประจำเดือนมาไม่ปกติ
- อารมณ์แปรปรวน
- เกิดปัญหาสิวอุดตัน
- น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
- ปวดหัว ปวดหัวไมเกรน
- ปวดหน้าอก หน้าอกขยายใหญ่ขึ้น
- ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน
- มีแรงขับทางเพศที่เพิ่มขึ้น หรือลดลง
- เกิดถุงน้ำ (ซีสต์) ที่รังไข่
หากลืมกินยาคุมกำเนิด ต้องทำอย่างไร
เมื่อไรก็ตามที่ลืมกินยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม ก็ให้ปฏิบัติดังนี้
กรณีลืมกินยาคุมกำเนิด 1 เม็ด
ถ้าลืมกินยาที่มีฮอร์โมน 1 เม็ด ให้กินเม็ดที่ลืมทันทีที่นึกได้ และกินยาเม็ดต่อไปทุกวันตามเวลากินปกติและไม่ต้องใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นเพิ่มเติม
กรณีลืมกินยาคุมกำเนิด 2 เม็ด
ถ้าลืมกินยาที่มีฮอร์โมน 2 เม็ด (เฉพาะชนิดที่มี Ethinylestradiol 30-35 ไมโครกรัม) ให้กินยาเม็ดที่ลืมล่าสุดทันทีที่นึกได้ ส่วนยาเม็ดอื่นที่ลืมกินก่อนหน้านั้นให้ทิ้งไป) และกินยาเม็ดถัดไปตามเวลาปกติ และไม่ต้องใช้วิธีการคุมกำเนิดอื่นเพิ่มเติม
กรณีลืมกินยาคุมกำเนิดมากกว่า 2 วัน
กรณีลืมกินยาคุมกำเนิดมากกว่า 2 วัน ให้กินยาเม็ดที่ลืมล่าสุดทันทีที่นึกได้ ส่วนยาเม็ดอื่นที่ลืมก่อนหน้านั้นให้ทิ้งไป และกินยาเม็ดถัดไปตามเวลาปกติ แต่ต้องใช้วิธีการคุมกำเนิดอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น การใช้ถุงยางอนามัย หรือหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ จนกว่าจะได้กินยาเม็ดที่มีฮอร์โมนติดต่อกันเป็นเวลา 7 วัน
กรณีลืมกินยาคุมกำเนิดเม็ดแป้ง
ถ้าเป็นการลืมกินยาคุมกำเนิดเม็ดแป้งก็ให้ทิ้งเม็ดนั้นไปแล้วกินยาเม็ดถัดไปในเวลาเดิมได้เลย
การเก็บรักษายาคุมกำเนิด
ปกติแล้วยาเม็ดคุมกำเนิดควรจะเก็บไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิระหว่าง 15-30 องศาเซลเซียส ไม่ควรให้ยาคุมกำเนิดถูกแสงแดด หรืออยู่ในที่ที่มีความร้อนสูง เพราะจะส่งผลทำให้ตัวยาเสื่อมประสิทธิภาพลง และเพิ่มความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ได้
ยาเม็ดคุมกำเนิดยี่ห้อไหนดี
การเลือกใช้ยาคุมกำเนิดยี่ห้อไหนนั้น เราต้องศึกษาเกี่ยวกับข้อดี ข้อเสีย
1.ยาเม็ดคุมกำเนิดยี่ห้อ Herz
เป็นยาคุมกำเนิดสูตรเดียวกับ Yaz ใช้ป้องกันการตั้งครรภ์ นอกจากนี้ยังไม่เกิดผลข้างเคียง คือไม่ทำให้เกิดการบวม อ้วน หรือน้ำหนักเพิ่ม ทั้งยังสามารถรักษาสิวที่มีอาการปานกลาง และช่วยรักษาอาการของ Premenstrual Dyphoric Disorder เป็นยาคุมที่มีรูปแบบเป็น Extended-cycle 24/4 regiment ซึ่งในแผงจะมี 28 เม็ด นั่นคือ 24 เม็ดเป็นเม็ดฮอร์โมน (เม็ดสีขมพู) และเม็ดยาหลอก (เม็ดสีขาว) มี 4 เม็ด
ตัวยาเม็ดคุมกำเนิด จะประกอบด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจน คือ Ethinyl estradiol 0.02 มิลลิกรัม และฮอร์โมนโปรเจสติน คือ Drospirenone 3 มิลลิกรัม เหมือนกันทั้ง 24 เม็ด สำหรับเม็ดยาหลอก 4 เม็ดเป็นเพียงเม็ดแป้งทำทำไว้ให้กินในช่วงปลอดฮอร์โมน เพื่อจะไม่ลืมกำหนดต่อยาคุมแผงใหม่ อาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ บวมน้ำ หรือการเกิดฝ้า จะไม่ค่อยพบเพราะมีฮอร์โมน Ethinyl estradiol ต่ำมากไม่เกิน 0.020 มิลลิกรัม
ยาคุมกำเนิด Herz เป็นยาผลิตภายในประเทศ มีราคาประมาณแผงละ 290-330 บาท
2.ยาเม็ดคุมกำเนิดยี่ห้อ Sucee
ยาคุมซูซี่ประกอบด้วยฮอร์โมน Cyproterone acetate 2 mg และ Ethinylestradiol 0.035 mg มีทั้งแบบ 21 เม็ด และ 28 เม็ด สำหรับแบบ 21 เม็ด จะเป็นฮอร์โมนทั้งหมด แต่ถ้าเป็นแบบ 28 เม็ด จะเป็นฮอร์โมน 21 เม็ดและอีก 7 เม็ดจะเป็นเม็ดเคลือบน้ำตาลเฉย ๆ ฮอร์โมนในยาเม็ดคุมกำเนิดซูซี่ จะมีฤทธิ์ยับยั้งฮอร์โมนเพศชาย จึงช่วยลดสิว ผิวมัน ขนดก และก็ยังช่วยยับยั้งการตกไข่ จึงมีฤทธิ์ในการคุมกำเนิด แต่ว่าอาจทำให้อ้วนได้ เพราะไม่มีฤทธิ์ลดการบวมน้ำได้ นอกจากนี้อาจทำให้มีฝ้า คัดตึงเต้านม น้ำนมไหล คลื่นไส้ อาเจียน
ยาคุมซูซี่ เป็นยาที่ผลิตภายในประเทศ มีราคาประมาณแผงละ 100-130 บาท
3.ยาเม็ดคุมกำเนิดยี่ห้อ Minny
ยาคุมมินนี่ประกอบด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจน คือ Ethinyl estradiol 0.020 มิลลิกรัม และ ฮอร์โมนโปรเจสติน คือ Desogestrel 0.150 มิลลิกรัม มีทั้งแบบ 21 เม็ด และ 28 เม็ด สำหรับแบบ 21 เม็ดจะเป็นฮอร์โมนทั้งหมด แต่ถ้าเป็นแบบ 28 เม็ด จะเป็นฮอร์โมน 21 เม็ด เป็นเม็ดสีขาวขนาดใหญ่อยู่ 3 แถวบนและอีก 7 เม็ดจะเป็นเม็ดขาวขนาดเล็ก เป็นเม็ดแป้ง
ยาคุมยี่ห้อมินนี่ ผลิตภายในประเทศ ราคาประมาณแผงละ 110-130 บาท
คำถามที่พบบ่อย
กินยาคุมกำเนิดส่งผลให้อ้วนและน้ำหนักขึ้นจริงไหม
จากงานวิจัย ทำให้พบว่า กินยาคุมกำเนิดสามารถส่งผลให้อ้วนและน้ำหนักขึ้นเป็นจริง เพราะฮอร์โมนโปรเจสติน และ เอสโตรเจนที่อยู่ในยาคุมกำเนิด ทำให้ร่างกายเก็บน้ำ เกลือ และของเหลวมากขึ้น ทำให้บวมน้ำจนดูมีน้ำหนักมากขึ้น ส่งผลให้น้ำหนักตัวมากขึ้น รวมถึงกระตุ้นความอยากอาหาร
กินยาคุมแล้วท้องเกิดจากสาเหตุใด
สาเหตุที่ยังท้องทั้ง ๆ ที่กินยาคุมแล้วนั้น คือ
- กินยาคุมกำเนิดไม่ตรงเวลา ทำให้ไม่สามารถยับยั้งการตกไข่
- ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดร่วมกับยาปฏิชีวนะซึ่งไปลดประสิทธิภาพของยาเม็ดคุมกำเนิด
- ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดร่วมกับยารักษาทางจิตเวช ส่งผลต่อประสิทธิภาพของยาเม็ดคุมกำเนิ
- มีอาการอาเจียนหรือท้องเสียหลังกินยาคุมกำเนิดภายใน 2 ชั่วโมง ทำให้ผลของยาลดลง
- เก็บยาคุมกำเนิดผิดวิธีทำให้ยาเสื่อมประสิทธิภาพ
- ลืมกินยาคุมกำเนิดแบบไม่รู้ตัว
กินยาคุมกี่วันถึงจะมีเพศสัมพันธ์ได้
หลังจากกินยาคุมกำเนิดเป็นเวลา 7 วันแล้วถึงจะมีเพศสัมพันธ์ได้ เพราะยาคุมกำเนิดจะยังไม่สามารถออกฤทธิ์ในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ถ้าก่อน 7 วัน
หลังคลอด กินยาคุมได้ตอนไหน
สำหรับคุณแม่ให้นมบุตร สามารถกินยาคุมได้หลังคลอด 6 สัปดาห์ ไม่ควรรอให้ประจำเดือนมาแล้วค่อยกินยาคุม เพราะเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ได้หากมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ได้ป้องกัน
ข้อสรุป
เมื่อรู้รายละเอียดเกี่ยวกับยาเม็ดคุมกำเนิดแล้ว ก็ต้องตระหนักด้วยว่าการคุมกำเนิดไม่มีวิธีไหนที่สามารถใช้ได้ผล 100% ยกเว้นจะไม่มีเพศสัมพันธ์กับใครเลย