6 วิธีลดรอยสิว ยังไงให้หมดไปจากผิวหน้าบทความนี้มีคำตอบ
รอยสิว ปัญหาสิวที่ชวนให้ปวดหัวนอกจากอาการปวดอักเสบบนผิวหน้าแล้ว เมื่อสิวหายก็ยังจะทิ้งรอยเอาไว้ให้รำคาญใจอีกด้วย แถมรอยสิวจะใช้เวลารักษาค่อนข้างนานกว่าการรักษาสิวเสียอีก ยิ่งอายุมากขึ้น รอยสิวที่เกิดขึ้นก็ยิ่งหายช้า ทำให้ผิวหน้าดูไม่เรียบเนียน ยิ่งใครที่รักสวยรักงามก็ต้องแต่งหน้าหนาเพื่อลบรอยสิวอีกต่างหาก
จะมีวิธีใดบ้างที่ช่วยลดรอยสิวให้ดูจางลง หรือรักษารอยสิวให้หายไป ในบทความนี้ได้รวยรวมวิธีลดรอยสิวที่สามารถทำได้ง่าย ๆ เห็นผลได้จริง
รอยสิว คือ ?
รอยสิว เป็นรอยแผลที่เกิดขึ้นหลังจากสิวอักเสบหรือสิวอุดตันหาย โดยเฉพาะสิวอักเสบที่ผิวหน้าเราอาจเกิดอาการบวมแดงจากการอักเสบ หรือเกิดการปริแตกของผิวจากการที่สิวอักเสบเป็นหนองและแตกออก
โดยร่องรอยสิวที่เกิดขึ้นนี้จะค่อย ๆ จางลงเมื่อผิวฟื้นฟูสภาพด้วยการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ แต่เมื่ออายุมากขึ้นการฟื้นฟูสภาพผิวก็ทำได้ช้าลง ทำให้การรักษารอยสิวยาก และหายช้ากว่าเดิมนั่นเอง
รอยสิว เกิดจากอะไร ?
รอยสิวเกิดจากการเกิดสิว หรือการอักเสบหรืออุดตันของรูขุมขนใต้ผิวหนัง โดยสิวแต่ละชนิดมีโอกาสที่ทำให้เกิดรอยสิว รอยดำจากสิว หรือรอยแดงจากสิวแตกต่างกัน ยิ่งหากชนิดสิวที่เป็นรุนแรงมากเท่าไหร่ โอกาสที่เกิดรอยสิวก็ยิ่งมากและรุนแรงเท่านั้น สามารถแบ่งชนิดของสิวได้ตามความรุนแรง ดังนี้
- สิวที่มีความรุนแรงน้อย เช่น สิวอุดตันหัวดำ สิวอุดตันหัวขาว
- สิวที่มีความรุนแรงปานกลาง เช่น สิวอักเสบหัวหนอง สิวอักเสบไม่มีหัว สิวตุ่มแดง
- สิวที่มีความรุนแรงมาก เช่น สิวหัวช้าง
รอยสิวที่เกิดจากสิวที่รุนแรงมักจะสร้างรอยสิวที่รุนแรงและรักษาได้ยาก โดยเฉพาะสิวที่มีการอักเสบรุนแรงและอักเสบใต้ผิวหนังที่ลึกมาก ๆ อย่างสิวหัวช้าง จะทำให้เกิดการทำลายชั้นผิวหนังที่อักเสบก่อให้เกิดเป็นรอยหลุมสิวที่ยากต่อการรักษานั่นเอง นอกจากนี้การเกิดรอยสิวก็สามารถเกิดจากการกดสิวหรือการบีบสิวได้เช่นกัน
ประเภทของรอยสิว
รอยสิวมีหลายประเภทแตกต่างกันตามลักษณะของสิวที่เกิด สามารถแบ่งลักษณะประเภทของรอยสิวได้ดังนี้
รอยแดงจากสิว
รอยแดงจากสิวมีลักษณะเป็นจุดแดงหรือรอยแดงบนผิวหนังบริเวณที่เกิดหรือเคยเกิดสิว รอยแดงนี้มักจะเกิดจากการอักเสบของผิว โดยรอยแดงจากสิวจะเป็นรอยที่ไม่ลึกมากและสามารถหายได้เองเมื่อเซลล์ผิวหนังถูกผลัดออกและมีเซลล์ผิวใหม่แทนที่เรื่อย ๆ
นอกจากการเกิดจากสิวอักเสบแล้วรอยแดงจากสิวยังเกิดได้หลังจากการกดสิวหรือบีบสิวได้อีกด้วย
รอยดำจากสิว
รอยดำจากสิวมีลักษณะเป็นจุดสีดำคล้ำบนผิวหนังที่เคยเป็นสิว โดยมักจะเกิดจากหลังที่สิวหายแล้วและผิวกำลังเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูผิวใหม่ โดยเวลาผิวกำลังฟื้นฟูจะมีการสร้างเม็ดสีเมลานินที่ทำให้ผิวมีสีคล้ำขึ้นเป็นจำนวนมากที่บริเวณนั้น ๆ
ทำให้บริเวณที่สิวหายไปแล้วเกิดเป็นรอยสีเข้ม รอยดำจากสิวนั่นเอง รอยดำจากสิวสามารถหายได้เองเช่นกันกับรอยแดงจากสิว จากการผลัดเซลล์ผิวเก่าออกแล้วเซลล์ผิวใหม่เข้ามาแทนที่ อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนกว่าจะจางลง
หลุมสิว
หลุมสิวเป็นรอยสิวที่เกิดจากสิวที่มีความรุนแรงค่อนข้างมากอย่างสิวอักเสบหัวหนองหรือสิวหัวช้าง โดยสิวกลุ่มนี้มักจะทำให้เซลล์ผิวรอบ ๆ ถูกทำลาย และเมื่อสิวหายอักเสบหากการฟื้นฟูสภาพผิวฟื้นฟูไม่ทันก็จะทิ้งเป็นรอยหลุมสิวเอาไว้ ลักษณะของหลุมสิวมีอยู่หลายชนิด ดังนี้
- Ice-pick Scars เป็นรอยสิวแบบจุด หลุมสิวจะลึกและแคบไม่เกิน 0.5 มิลลิเมตร มักจะเกิดจากการอุดตันของสิวนาน ๆ และกดสิวอุดตันนั้นออก บริเวณที่พบบ่อยคือบริเวณแก้ม หลุมสิวลักษณะนี้ค่อนข้างรักษาได้ยากและต้องใช้ความต่อเนื่องในการรักษา
- Boxcar Scars เป็นรอยสิวหลุมกว้างขนาดใหญ่ประมาณ 3-4 มิลลิเมตรเลยทีเดียว และสามารถมองเห็นขอบหลุมได้ชัดเจน และปากจนถึงก้นหลุมมักมีความกว้างเท่ากัน โดยเกิดจากสิวอักเสบที่มีการอักเสบแบบกระจายกว้าง บริเวณที่พบบ่อยจะเป็นบริเวณที่ผิวค่อนข้างหนาอย่างแก้มช่วงล่างจนถึงคาง
- Rolling Scars เป็นหลุมสิวตื้นบนผิวหนัง รอยสิวจะค่อนข้างกว้างแต่ไม่ลึกมาก และขอบหลุมสิวมักจะไม่เรียบ เกิดจากการที่สิวอักเสบขนาดใหญ่ยุบตัวลง
- Hypertrophic หรือ Keloid Scars เป็นรอยสิวแผลเป็นนูนขึ้นมาบนผิวหนัง กดแข็ง มีสีเดียวกับผิวหนังหรือมีสีชมพูแดง โดยเกิดจากการฟื้นฟูของผิวที่ถูกทำลายจากสิวที่มากจนเกินไป
รักษารอยสิว อย่างไรให้ได้ผล
โดยปกติแล้วหลังจากที่สิวยุบตัวหรือสิวหายแล้วก็มีโอกาสที่จะเกิดรอยสิวหรือหลุมสิว และร่างกายสามารถสร้างเนื้อเยื่อเซลล์ผิวขึ้นมาทดแทนได้อยู่แล้ว แต่เมื่ออายุมากขึ้นการฟื้นฟูสภาพผิวเองก็เริ่มทำได้ยากขึ้น จึงทำให้ใช้เวลานานกว่ารอยสิวจะหายไป
เพื่อให้ผิวเราสามารถฟื้นฟูสภาพผิวได้เร็วยิ่งขึ้น จึงมีวิธีรักษารอยสิวที่ช่วยให้ผิวได้ฟื้นฟูสภาพและรอยสิวจางลงเร็วขึ้น ดังนี้
ปรึกษาแพทย์
รอยสิวเป็นปัญหาผิวที่รักษาให้หายขาดได้ยาก แต่เมื่อเกิดรอยสิวขึ้นมาแล้วก่อนจะทำการรักษาใด ๆ ควรจะเข้าปรึกษาแพทย์ก่อน เพื่อให้แพทย์ได้ดูสภาพผิว สาเหตุการเกิดรอยสิว เพื่อที่จะได้วางแผนการรักษารอยสิวที่ได้ผลดีที่สุด รวมไปถึงวิธีการดูแลผิวที่ถูกต้องเพื่อไม่ให้เกิดรอยสิวซ้ำ
ใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์รักษารอยสิว
ยาบางตัวอาจมีส่วนผสมของสารเหล่านี้เพื่อช่วยให้รอยสิวจางลง
- คอร์ติโซน (Cortisone) มีฤทธิ์ลดการอักเสบของผิวหนัง ทำให้รอยแดงจากสิวอักเสบจางลง
- วิตามินซี หรือกรดแอสคอร์บิก (Ascorbic Acid) มีฤทธิ์ต้านอักเสบ นอกจากนี้ยังช่วยสร้างคอลลาเจน ทำให้แผลเป็นรอยสิวหายเร็วขึ้น
- อาร์บูติน (Arbutin) และกรดโคจิก (Kojic Acid) มีฤทธิ์ยับยั้งการผลิตเม็ดสีเมลานิน ทำให้ในกระบวนการฟื้นฟูผิวหนังไม่มีการสร้างเม็ดสีเมลานิน รอยดำจากสิวจึงจางลง
- ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) มีฤทธิ์ต้านอักเสบ สามารถลดรอยแดงจากสิวและเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวได้อีกด้วย
การยิงเลเซอร์
การรักษาด้วยการยิงเลเซอร์นอกจากจะช่วยรักษาสิวได้แล้วยังสามารถลดรอยสิวได้อีกด้วย เนื่องจากเลเซอร์จะไปกำจัดผิวหนังชั้นนอกที่เกิดความเสียหายจากการเกิดสิว และทำให้ผิวกระตุ้นสร้างเซลล์ผิวขึ้นมาใหม่ ทำให้เซลล์ผิวที่ฟื้นฟูขึนมาใหม่นั้นเรียบเนียนเสมอกัน
การฉีดฟิลเลอร์
การฉีดฟิลเลอร์จะช่วยให้หลุมสิวดูตื้นขึ้น เรียบเนียนใกล้เคียงกับผิวบริเวณใกล้เคียง แต่การฉัดฟิลเลอร์จะต้องเข้ารับการฉีดทุก ๆ 4-6 เดือน เพราะฟิลเลอร์จะถูกดูดซึมเข้าผิวจนหมดและทำให้หลุมสิวกลับมาลึกและดูชัดเช่นเดิม
การกรอผิว
การกรอผิวเป็นการกรอขัดผิวหนังส่วนที่เป็นรอยสิวออกไป เพื่อให้เซลล์ผิวชั้นในได้ผลัดเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่เซลล์ผิวเก่า ทำให้บริเวณที่มีรอยสิวนั้นหายไปและผิวที่ฟื้นฟูกลับมาใหม่นั้นเรียบเนียนสม่ำเสมอกับบริเวณผิวใกล้เคียง
การบำบัดด้วยความเย็น (Cryotherapy)
การรักษารอยสิวด้วยความเย็นนี้จะใช้เครื่องพ่นที่มีอุณหภูมิต่ำมาก ๆ ไปบริเวณที่เกิดรอยสิวเพื่อให้เซลล์ผิวบริเวณนั้น ๆ ตายและสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทน
วิธีการป้องกันไม่ให้เกิด รอยสิว
เพราะรอยสิว หลุมสิวเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วกว่าผิวจะกลับมาเนียนใสได้จะใช้เวลาค่อนข้างมาก หรือในบางรายที่อาการรอยสิวรุนแรงมากอาจไม่หายเลยก็ได้ ดังนั้นการป้องกันการเกิดรอยสิวจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
ไม่กดสิว หรือบีบสิวด้วยตนเอง
การกดสิวเป็นการช่วยให้สิวอุดตันหัวดำที่ไม่ยอมหลุดออกมาเองได้หลุดออกมาเร็วขึ้น ทำให้หน้าดูเรียบเนียนและลดโอกาสการเกิดหลุมสิวจากการที่มีสิวอุดตันหัวดำคั่งค้างในรูขุมขนนาน ๆ แต่อย่างไรก็ตามหากการกดสิวหรือบีบสิวไม่ถูกวิธีก็อาจเพิ่มความเสี่ยงให้สิวบริเวณนั้นเกิดอักเสบและลุกลาม ทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นได้รับความเสียหายมากขึ้น และก่อให้เกิดรอยสิวขึ้นได้มากกว่าเดิม
ระวังการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีมาก ๆ หรือออกฤทธิ์รุนแรง
โดยเฉพาะผู้ที่ผิวเป็นสิว การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ออกฤทธิ์แรงอาจทำให้เกิดการอักเสบของสิวมากขึ้น และเมื่อสิวหายก็จะเพิ่มโอกาสเกิดรอยสิวมากขึ้นอีกด้วย ดังนั้นควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว โดยเฉพาะหากผิวเป็นสิวง่ายควรเลือกผลิตภัณฑ์สำหรับผิวเป็นสิวโดยเฉพาะ
ใช้ครีมกันแดดทุกครั้ง
ผิวที่สัมผัสกับแสงแดดโดยตรงจะถูกกระตุ้นให้สร้างเม็ดสีเมลานินมากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณที่ผิวหนังเพิ่งฟื้นฟูหลังจากหลายเป็นสิว เมื่อเจอกับแสงแดดก็จะทำให้บริเวณที่เป็นสิวนั้นเกิดรอยดำได้ง่าย การใช้ครีมกันแดดเป็นการป้องกันเพื่อไม่ให้ผิวได้สัมผัสกับแสงแดดจนกระตุ้นการสร้างเม็ดสีขึ้นมานั่นเอง
รักษาสมดุลของผิว ไม่ปล่อยให้ผิวแห้งขาดน้ำ ไม่ปล่อยให้หน้ามันจนเกินไป
การที่ผิวแห้งเกินไปหรือผิวมันเกินไปล้วนเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดสิว และสิวก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดรอยสิวอีกด้วย ดังนั้นควรดูแลให้ผิวชุ่มชื้นไม่แห้งและไม่มันเกินไป โดยดื่มน้ำให้เพียงพอ พักผ่อนให้เพียงพอ และอาจบำรุงผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นแก่ผิว ควบคุมความมันของผิว เป็นต้น
สรุป
รอยสิวเป็นปัญหาผิวที่ไม่เป็นอันตรายใด ๆ แต่มักสร้างความรำคาญและกังวลให้กับผู้ที่เป็นรอยสิวได้ การรักษาพื้นฟูสภาพผิวเพื่อให้รอยสิวจางลงนั้นสามารถทำได้หลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการใช้ยารักษารอยสิว หรือหัตถการต่าง ๆ โดยแพทย์เพื่อลดรอยสิว แต่อย่างไรก็ตามการรักษารอยสิวให้หายไปนั้นค่อนข้างใช้เวลาค่อนข้างมาก ดังนั้นหากเป็นไปได้การป้องกันไม่ให้เกิดสิวและรอยสิวจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของคนที่ไม่อยากเป็นรอยสิวนั่นเอง
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
Raksa Content Team. (n.d.). รอยแผลเป็นจากสิว (Acne Scar).
Pobpad. (n.d.). วิธีรักษาและลบรอยสิว.