ฉันคือ...พวงชมพู
คนเราเกิดมาล้วนมีนิสัยแตกต่างกัน แต่คนในสังคมส่วนมากมักมองคนที่แตกต่างออกไปว่าคือคนที่มีปัญหา เมื่อไหร่กันนะที่เราจะคิดว่าความแตกต่างของแต่ละคนคือสิ่งดี คือการเติมเต็มช่องว่างให้แก่กัน หากเราเปิดใจกว้างยอมรับผู้คน นอกจากสังคมส่วนรวมจะดีแล้ว ฉันว่าคนในสังคมก็จะอยู่กันด้วยความสุขอีกด้วย
... อักษราลัย ...
ชมกับน้องลีออนกำลังสอนสนทนาภาษาอังกฤษกันอย่างสนุกสนาน นักเรียนก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นประถมศึกษาศึกษาปีที่สี่ชั้นของน้องลีออนนั่นเอง เราเล่นเกม เราร้องเพลง เราแสดงบทบาทสมมุติกัน ชมมีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่ท่ามกลางเด็ก ๆ พลังงานของเด็ก ๆ สดใสมาก เวลาชมอยู่ใกล้ ชมรู้สึกสดชื่นมีชีวิตชีวาตลอด
ชมเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยววัยสี่สิบกว่า ลูกชายวัยสิบขวบกว่า น้องลีออนเป็นลูกครึ่งไทยเบลเยียม ชมเปิดคอร์สสอนสนทนาภาษาอังกฤษให้เด็ก ๆ เสาร์อาทิตย์ ส่วนวันธรรมดาชมสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ
ชมเป็นคนรักการอ่านมาก ในโลกของการอ่านชมได้จินตนาการไม่รู้จบ ชมได้เป็นตัวของตัวเอง ชมได้อยู่กับตัวเอง ชมไม่ต้องกลัวสายตาหรือคำพิพากษาจากใคร ชมใช้การอ่านเป็นหลุมหลบภัยในยามที่โลกข้างนอกใจร้ายเกินไปอีกด้วย
ชมเป็นคน introvert, highly sensitive person and empathy นี่คือเหตุผลหลักที่ชมเลือกทำงานที่บ้าน การติดต่อสัมพันธ์กับคนมากมายดูดกลืนพลังงานของชมไปได้อย่างง่ายดาย คน introvert คือคนที่มีชีวิตชีวาถ้าได้อยู่กับตัวเองเงียบ ๆ ได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ตรงข้ามกับคน extrovert อย่างสิ้นเชิงที่จะเหี่ยวเฉาถ้าต้องอยู่คนเดียว แต่จะมีชีวิตชีวาถ้าได้อยู่ท่ามกลาง ฝูงชน เวลาชมต้องสัมผัสสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ มากเกินไป ชมจะหมดเรี่ยวหมดแรงตลอด คน highly sensitive นี่ก็คือคนที่อ่อนไหวง่าย ใครพูดอะไรหรือทำอะไรกระทบกระทั่งก็อาจบอบช้ำใจได้ง่าย ๆ และในโลกของการทำงาน การกระทบกระทั่งกันในหมู่ผู้ร่วมงานและหัวหน้างานเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก หรือแทบจะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย คน empath ก็คือคนที่ขี้สงสาร เห็นใครน่าสงสารก็อยากช่วยเหลือไปหมด กลายเป็นเตี้ยอุ้มค่อมไป
ชมเคยพยายามฝืนธรรมชาติของตัวเอง โดยการไปทำงานที่โรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งหนึ่ง ชมทำได้แค่ปีเดียวก็ขอลาออก การเมืองในหมู่ครูด้วยกันมันเข้มข้นมาก ในโรงเรียนนี้น่าจะเข้มข้นกว่าโรงเรียนทั่วไปเพราะไม่ใช่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายเฉพาะสีเสื้อเท่านั้น แต่แบ่งศาสนากันด้วย มีกลุ่มครูที่เป็นคริสเตียน และครูที่เป็นพุทธ แม้โรงเรียนที่ชมไปสอนจะเป็นโรงเรียนคริสเตียน แต่มีครูที่เป็นคริสเตียนแค่ไม่กี่คน ถ้าไม่นับรวมฝ่ายบริหาร คนอื่น ๆ เขาก็อยู่กันได้สบายดี แต่ไม่ใช่ชม สำหรับชมมันหนักและเหนื่อยมาก กลับจากโรงเรียนแต่ละวันเหมือนพลังงานโดนสูบไปจนหมดตัว
ชมเลยต้องหันมายอมรับธรรมชาติของตัวเอง คนอย่างชมต้องทำงานที่บ้าน ต้องสัมผัสสัมพันธ์กับคนให้น้อยที่สุด และก็ต้องเลือกเฉพาะคนที่มีพลังงานที่เป็นบวกเท่านั้น ชมต้องพาตัวเองไปอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติให้มากที่สุดซึ่งตรงนี้ไม่มีปัญหา บ้านชมมีสวนกว้าง หน้าบ้านก็มีทางเดินธรรมชาติ บ้านที่อยู่ละแวกเดียวกันล้วนเป็นบ้านเดี่ยว ผู้คนรักความสงบกันถ้วนหน้า
งานสอนเด็กนักเรียนที่บ้านจึงตอบโจทย์ชีวิตชมได้อย่างพอเหมาะพอดี เด็ก ๆ มาพร้อมกับพลังงานที่สดใสและมีชีวิตชีวาเสมอ
ส่วนการสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาตินี่ก็เช่นกัน นักเรียนที่มาเรียนเป็นคนที่เกษียณแล้ว ผ่านชีวิตมาอย่างโชกโชนกันแล้ว ตกผลึกบทเรียนของชีวิตมาแล้ว ชมยินดีที่ได้ฟังประสบการณ์ล้ำค่า เหมือนได้เดินทางรอบโลกไปกับพวกเขาด้วย คนที่ไม่ชอบการเดินทางอย่างชมก็เลยเหมือนได้เดินทางกลาย ๆ ไปทุกทวีปเลย
ลืมตาตื่นเมื่อเช้าเพราะมีมือน้อย ๆ มากอด พร้อมเสียงอ้อน ๆ ว่า
“หม่าม้าครับ หล่ารักหม่าม้าที่สุดในโลกเลย ขอบคุณที่ใจดีกับหล่า หล่าเป็นเด็กที่โชคดีที่สุดในโลกเลย แต่วันนี้ถ้าหม่าม้าสัญญาว่าจะไม่ดื้อกับหล่า หล่าถึงจะไม่ดื้อกับหม่าม้า”
“หม่าม้าสัญญาค่ะ”
เช้านี้น้องเปิ้ล น้องคนสนิทพาเป็นหนึ่งลูกชายมาแต่เช้า เป็นหนึ่งรบเร้าจะให้แม่พามาหาลีออนแต่เช้า แต่เปิ้ลให้ช่วยจัดของเพื่อเอาไปขายที่ตลาด น้องเปิ้ลก็เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวเหมือนกัน เป็นหนึ่งลูกชายก็อายุเท่าลีออน แต่เรียนอยู่คนละโรงเรียน น้องเป็นหนึ่งจะเป็นเด็กที่ไฮเปอร์นิดหน่อย ค่อนข้างอยู่ไม่นิ่ง เรื่องการเรียนวิชาการที่โรงเรียนไม่ค่อยได้เรื่อง เปิ้ลก็เลยเน้นเรื่องกีฬาและภาษาแทน เพราะชมเคยแนะนำเขาไปว่า ถ้าไปแข่งในสนามวิชาการ ยังไงก็แพ้ ต้องเน้นกีฬาและภาษาที่เขาถนัดเพื่อเพิ่ม self-esteem ชมบอกเปิ้ลเสมอว่า ถ้าเราอัดฉีดเจ้าตัว self-esteem นี้ให้หนัก ยังไงเขาก็จะไปต่อได้ เด็กทุกคนมีศักยภาพที่จะไปต่อได้ในแบบของตัวเอง
เปิ้ลบอกว่าเขาเคยกังวลเรื่องนี้มาก แต่พอได้มาคุยกับชมแล้วเริ่มมองเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์
เป็นหนึ่งกับลีออนแม้จะอยู่คนละโรงเรียน แต่เขาสองคนสนิทกันมาก ลีออนเป็นเด็กที่นิ่ง มีสมาธิดีมาก เก่งวิชาการ เก่งดนตรี เก่งกีฬา และเก่งภาษาด้วย ชมเลยให้เขาช่วยส่งเสริม เป็นหนึ่งทุกครั้งที่มีโอกาส ชมชอบเวลาที่ลีออนอยู่กับเป็นหนึ่งเพราะชมได้สอนลูกเรื่องความเห็นอกเห็นใจ ชมซื้อหนังสืออ่านนอกเวลาระดับเยาวชนมาเล่มหนึ่ง มาอ่านเป็นนิทานก่อนนอนให้ลีออน นิทานก่อนนอนนี้ชมอ่านให้เขาฟังตั้งแต่แบเบาะเพราะอยากปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน รักการเรียนรู้ และอยากให้เขามีจินตนาการอันกว้างไกลไปกับเรื่องราวในหนังสือ ชมมาได้ไกลและมาได้สวยงามขนาดที่ชมค่อนข้างพอใจก็เพราะนิสัยรักการอ่าน “ผมปัญญาอ่อน” เป็นเรื่องราวมิตรภาพอันสวยงามของเด็กชายปัญญาอ่อนและเด็กชายขาเป๋ และหัวหน้าชั้น
“ทุกชีวิตล้วนควรได้รับการเคารพนับถือ แม้แต่ผู้ที่ได้เชื่อว่ามีความบกพร่องทางปัญญาก็เช่นเดียวกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วสังคมเราปฏิบัติกับคนพวกนี้อย่างไร เรามักจะกีดกันพวกเขา หลบหลีกพวกเขา กระทั่งเย้ยหยันรังแกเขาราวกับหมาบ้า แค่นั้นยังไม่พอ เรายังดูหมิ่นญาติสนิทของพวกเขาราวกับพวกเขาได้ติดเชื้อแห่งความโง่มาด้วย การข่มเหงกันเช่นนี้จึงได้ก่อให้เกิดเรื่องราวที่น่าเศร้าในหนังสือเล่มนี้ กล่าวคือ คนที่เป็นแม่ก็พยายามที่จะปิดบังไม่ให้คนรู้ว่ามีลูกเป็นปัญญาอ่อน คนเป็นน้องสาวก็ไม่ให้คนอื่นรู้ว่าเธอมีพี่ชายเป็นคนปัญญาอ่อน อย่างไรก็ดี เรื่องนี้ยังมีผู้กล้าอยู่นั่นคือ หลินเจียอินซึ่งเป็นหัวหน้าชั้น เธอกล้าออกมาปกป้องเด็กปัญญาอ่อนคนนี้ เผชิญหน้ากับเด็กทุกคนที่จะมารังแก อีกคนก็คือ “ขาเป๋” ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้น เขาจะคอยเรียกร้องความยุติธรรมให้ทุกครั้งที่มีคนมาเอาเปรียบ และเขายินดีที่จะเป็นเพื่อนสนิทของเด็กปัญญาอ่อนไปตลอดชีวิต”
พออ่านจบลีออนบอกกับชมว่า “หล่ารักเผิงเถี่ยหนัน เขาเป็นเด็กปัญญาอ่อนที่น่ารักที่สุดในโลก”
ชมว่ามีเพียงความรักเท่านั้นถึงจะทำให้เรายอมรับทุกสิ่งทุกอย่างได้ และก็มีเพียงความรักเท่านั้นที่จะบำบัดเยียวยาบาดแผลภายในของมนุษย์บนโลกใบนี้ได้
เพราะความรักก็คือความกล้าอย่างหนึ่ง