จงฉายแสง
ภาพบางภาพมีความหมายซ่อนอยู่ ให้ความรู้สึกได้นับร้อยนับพันความคิดที่แต่ละคนจะตีความ เมื่อได้โจทย์ให้ตีความจากภาพเด็กผู้หญิงยืนมองดวงดาว เหม่อมองท้องฟ้ายามค่ำคืน และนี่คือสิ่งที่พวงชมพูตีความออกมา
... อักษราลัย ...
ครั้งแรกที่มองภาพนี้ รู้สึกอบอุ่นในหัวใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ภาพเด็กหญิงที่ยังอยู่ในวัยใสไร้เดียงสาแหงนหน้าขึ้นมองฟ้าในค่ำคืนที่มืดมิด ดวงจันทร์ฉายแสงจ้า ดวงดาวน้อยใหญ่ก็ทำเช่นเดียวกัน ในใจเด็กหญิงคิดอะไรอยู่นะ...สงสัยใคร่รู้จัง
เด็กหญิงชมก็เป็นแบบนี้ ชอบแหงนหน้ามองฟ้า ในใจก็ภาวนาถึง “คนบนฟ้า” ท้องฟ้ากว้างใหญ่ไพศาลนัก ดวงดาวเป็นหมื่นเป็นแสนดวง ใครนะช่างรังสรรค์สิ่งมหัศจรรย์เหล่านี้
ตั้งแต่จำความได้ ชมไม่เคยได้รับความรัก ความอบอุ่นจากผู้ให้กำเนิด สิ่งที่ได้รับคือสิ่งที่ตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง ภาพที่เห็นในวันนี้จึงเป็นภาพที่ชมคุ้นชินมาก
ในคืนที่ฟ้าไม่เหงาดาวแบบนี้ ชมจะนอนเล่นอยู่ตรงนอกชานบ้าน มองฟ้ามองดาวไปเรื่อยเปื่อย ในใจก็ภาวนาถึง “คนบนฟ้า” ถ้าคนบนฟ้ามีจริงก็ขอให้รับฟังคำภาวนาของชม ชมอยากรู้เหลือเกินว่าทำไมให้ชมมาเกิดในครอบครัวไม่สมประกอบนี้ ทำไมชมถึงไม่ได้รับสิ่งที่ชมสมควรได้รับ ซึ่งนั้นก็คือความรักความอบอุ่นจากผู้ให้กำเนิด มีแผนการหรือบัญชาอะไรจากสวรรค์สำหรับชมหรือ ถ้าทุกชีวิตมีหน้าที่ แม้แต่สิ่งไม่มีชีวิตอย่างดวงจันทร์และดวงดาวก็มีหน้าที่ แล้วชมล่ะ....มีหน้าที่อะไร สวรรค์กำลังเตรียมชมเพื่อทำอะไรให้โลกใบนี้ งานที่ชมต้องทำมันคงจะยิ่งใหญ่น่าดูใช่ไหมคะ ชมถึงได้รับการเตรียมอย่างดุเดือดเข้มข้นตั้งแต่ต้นมือ
ดวงจันทร์ดวงกลมโตส่องแสงได้สว่างจ้ากว่าดาวทุกดวง แต่เหล่าดวงดาวน้อยใหญ่ก็ไม่ได้น้อยเนื้อต่ำใจ ยังคงทำหน้าที่ส่องแสงเต็มที่ เต็มศักยภาพที่มี ท้องฟ้าในค่ำคืนนี้จึงดูงดงามตระการตา
เราอาจคิดว่าตัวเองต่ำต้อยด้อยค่า เป็นคนไม่สำคัญหรือไม่จำเป็น เป็นดอกหญ้าริมทาง หรือเป็นดาวดวงน้อยที่แม้จะสาดแสงเต็มที่แต่ก็ยังดูริบหรี่เมื่อเทียบกับดวงจันทร์ แต่ขอให้เราจำได้หมายรู้ว่า เราไม่ได้มีหน้าที่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร เราเป็นเรา เป็นหนึ่งเดียว เรามีหน้าที่ฉายแสงของเราให้เต็มศักยภาพ ส่องสว่างให้ตัวเองและผู้คน ให้การมีอยู่และเป็นอยู่ของเรางดงามเท่าที่จะเป็นได้
“จงออกไปฉายแสง”