นักวิชาการค้าปลีกมองพลาดจุดสำคัญ .. ดีล "ทรู-ดีแทค" เหลือ 2 ราย ไม่หนุนการแข่งขัน
หลังจากที่ ดร.ฉัตรชัย ตวงบริพันธุ์ นักวิชาการอิสระ และรองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย ออกมามองถึง ดีล "ทรู-ดีแทค" ว่ากระทบเศรษฐกิจ ไม่หนุนการแข่งขันในตลาดประเทศไทย และขอให้ “กสทช.” อย่ายื้อเวลา ควรเร่งสรุปดีลในครั้งนี้ให้ชัดเจน
โดยเฉพาะความชัดเจนในการพิจารณาดีลดังกล่าว ควรจะรีบดำเนินการ ไม่ควรจะรอบอร์ดคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) อีก 2 คน ที่กำลังรอตรวจสอบคุณสมบัติจากวุฒิสภา เพราะบอร์ดฯ เพียง 5 คน ก็สามารถโหวตลงคะแนนได้ทันที
• “ตลาดโทรคมนาคม” นั้นเป็น "ตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่” เพียงอย่างเดียว
โดยในความเป็นจริงแล้ว “ตลาดโทรคมนาคม” ไม่สามารถมองเพียงว่าเป็น “ตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่” เพียงอย่างเดียวเหมือนอย่างที่ท่านมอง เพราะว่ายังมีตลาดอื่นซ้อนอยู่ในตลาดโทรคมนาคมด้วย ไม่แตกต่างอะไรกับ "ตลาดค้าปลีก" ที่มีทั้งตลาด Modern Trade และ Traditional Trade และยังมีการแข่งขันของช่องทางในการซื้อของในตลาดเป็นแบบออฟไลน์ และออนไลน์ซ้อนอยู่เช่นกัน หรือแม้แต่การซ้อนกันของระบบการชำระเงินก็ยังมีอยู่ในทุกตลาด ทั้งเงินสด บัตรเครดิต หรือชำระเงินด้วยระบบ E-commerce ด้วย
ทำให้เห็นว่าทุกตลาด ทุกธุรกิจ ล้วนแล้วแต่จะต้องมีตลาดหรือธุรกิจอื่นซ้อนอยู่ในตลาดหรือธุรกิจนั้นๆ ด้วยเช่นกัน
ดังนั้น การที่จะมองว่า “ตลาดโทรคมนาคม” เป็นเพียง “ตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่” อย่างเดียว ไม่มีตลาดอื่น ย่อมทำให้เห็นว่ามองตลาดนี้ค่อนข้างจะแคบเกินไป เพราะยังมีตลาดอื่นซ้อนอยู่ในตลาดโทรคมนาคมด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น
• ตลาดโทรศัพท์บ้าน ที่เคยครั้งหนึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจทั้ง CAT และ TOT เป็นเจ้าตลาดครองเบอร์ 1 มาอย่างยาวนาน
• ตลาดอินเตอร์เน็ตบ้าน ที่กำลังแข่งขันกันดุเดือด จากการเข้ามาควบรวมธุรกิจของ AIS และ 3BB ที่จะทำให้ AIS กระโดดจากอันดับ 4 ในตลาด ขึ้นมาเป็นอันดับ 1
• ตลาดดาวเทียม ม้านอกสายตาจากคนไทย ที่ตลาดดาวเทียมกำลังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาพื้นที่ห่างไกล ที่ยากต่อการเข้าถึง สำหรับประเทศไทยก็มีบริษัท ไทยคม ที่มีผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 คือ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ที่ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ยี่ห้อ AIS
จึงเห็นได้ว่า “ตลาดโทรคมนาคม” ไม่ได้มีเพียง “ตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่” อย่างที่นักวิชาการคนดังกล่าวกล่าวอ้างแต่อย่างใด แต่ทุกตลาดล้วนจะมีตลาดอื่นๆ ซ้อนอยู่ในตลาดนั้นๆ ด้วย
• เมื่อมีการควบรวมกันแล้วจะทำให้ไม่เกิดการแข่งขัน ไม่เกิดการแย่งชิงลูกค้ากัน
หากลองถอยออกไปมองธุรกิจอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น
• ตลาดน้ำอัดลม ที่มีผู้เล่นรายใหญ่ระดับโลก อย่าง PEPSI และ COKE และก็ยังมีผู้เล่นระดับประเทศ เช่น EST และ AJE Big Cola
• ตลาด CPU ทั้งคอมพิวเตอร์ และสมาร์ทโฟน ก็มีผู้เล่นระดับโลกทั้ง Intel และ AMD หรือ ฝั่งสมาร์ทโฟนก็มีหลากหลายยี่ห้อ Apple, Snapdragon, Exynos, Kirin, Dimensity, Helio
• ตลาดการ์ดจอ ก็มีทั้ง NVIDIA และ AMD Redeon เป็นต้น
เห็นได้ว่า ในบางธุรกิจระดับโลกเองก็มีเพียง 2 บริษัทใหญ่ในตลาดที่เป็นเจ้าตลาดเช่นกัน ดังนั้นคำกล่าวอ้างว่า "เมื่อตลาดเหลือผู้เล่นเพียง 2 ราย จะไม่เกิดการแข่งขัน" จึงเรียกได้ว่า มองข้อมูลไม่ครบถ้วน และไม่เป็นจริงอย่างแน่นอน
• ส่วนค่าบริการที่มีแนวโน้มว่าจะปรับตัวสูงขึ้น ก็พูดไม่ครบถ้วน
สำหรับประเทศไทย มีหน่วยงานกำกับดูแลในเรื่องของโทรคมนาคมอยู่แล้ว คือ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ที่มีประกาศไว้อย่างชัดเจนในการกำหนด และการกำกับดูแลโครงสร้างอัตราค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายในประเทศ ปี 2564
จากรูป ยิ่งแสดงให้เห็นว่า ค่าบริการโทรศัพท์มือถือจะสูงขึ้นนั้น ไม่มีทางเป็นไปได้เลย นอกเสียจากว่า กสทช. จะเป็นผู้ลดอัตราเพดานราคาลงมาเอง ส่วนผู้ให้บริการก็ต้องปรับค่าบริการให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานตามที่กสทช. กำหนดด้วยเช่นกัน
ดังนั้น เราควรจะจับดีว่า เมื่อเกิดการควบรวมกันแล้ว ประชาชนหรือผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์อะไรที่มากขึ้นกันดีกว่า