เมืองกรุง บทที่ 13
บทที่ 13
หลังเลิกงานกล้าเดินเอื่อย ๆ เชื่องช้ากลับวัด ครุ่นคิดหลายเรื่องในใจ เงยหน้าแหงนมองท้องฟ้า แสงสีส้มฉายทั่วผืนฟ้า ฟ้าแบบนี้ที่เรียกกันว่าผีตากผ้าอ้อม มันให้ความรู้สึกเหงาเข้าไปถึงขั้วหัวใจทีเดียว เขาคิดถึงฟ้าแบบนี้ที่ท้องทุ่ง แต่ที่นั่นมันไม่เหงาเพราะมีพ่อกับแม่ แต่ยามนี้ที่มองฟ้าแบบนี้คนเดียว เขาต้องฝืนอดทนกลั้นน้ำตาไม่ให้มันหยดไหล ความมืดค่อย ๆ ทาบทับขึ้นมาแทนที่มันดูเหงาเศร้าไม่ต่างจากเขา เขาหยุดพักริมทาง ตรงข้างบึงเล็ก ๆ ที่มีกอหญ้าขึ้นริมขอบ มีต้นไม้น้อยใหญ่ร่มรื่น มีกอไผ่สองสามกอพลิ้วลู่ลม มีสะพานเล็ก ๆ ข้ามไปยังอีกฝั่งที่เห็นบ้านคนลิบ ๆ อยู่ เขานั่งลงมองดูปลาในน้ำแหวกว่ายไปมา นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้นั่งทอดอารมณ์แบบนี้ ชีวิตในเมืองกรุงมีแต่ความเร่งรีบ
เขานั่งคิดอะไรหลาย ๆ อย่าง มีหลายเรื่องที่ประเดประดังเข้ามาในตอนนี้ รวมทั้งคนหลายคนที่เข้ามาในชีวิตของเขา
คุณฟ้านั้นยังคงเงียบขรึม แม้จะมีรอยยิ้มทักทาย และเอาหนังสือมาวางไว้ให้เขาอ่านเช่นเดิม แต่ก็จะรีบผลุบหายเข้าไปในห้องทำงานของคุณทวีผู้เป็นพ่อ ไม่พูดคุยอะไรกับเขาเช่นเดิม คงเป็นเพราะเขามีบัวเข้ามาป้วนเปี้ยนในชีวิต
ส่วนบัวหายไปหลายวันแล้ว นับตั้งแต่เขาโดนจับ คงจะไปอยู่ที่บ้านนายเจตน์ เพราะเขาไปหาที่บ้านยายสายก็ไม่เห็น ยายสายเองก็มีสีหน้าอมทุกข์ ขณะใส่บาตรก็ไม่พูดคุยกับหลวงพ่อเหมือนเคย มีเพียงแววตาขุ่นมัวเท่านั้น และบางครั้งเขาเห็นมีน้ำวาวใสคลออยู่ในดวงตาฝ้าฟางคู่นั้น
เอกหายหน้าไปจากวัดนับจากวันที่เกิดเรื่อง เพราะนายมีฟื้นจากอาการสาหัสแล้ว และให้การกับตำรวจว่าคนที่แทงจนบาดเจ็บสาหัสนั้นคือนายเอก ที่กระหน่ำแทงเขาหลังจากเขาพลั้งปากพูดไปว่ามันเกาะหลวงพ่อ เกาะชายผ้าเหลืองกิน
หลวงพ่อ คือคนที่กล้าคิดหนักมากที่สุด เขานึกย้อนคิดถึงภาพผู้หญิงในห้อง และย่องออกมาตอนเช้าที่พิสูจน์แล้วว่าคือบัว บัวบอกว่าทำงานอาทิตย์ละสองวัน และสองวันนั้นคือการอยู่กับหลวงพ่อ นั่นทำให้บัวมีเงินใช้อย่างฟุ่มเฟือย งานของบัวคืออะไร งานที่ต้องอยู่กับหลวงพ่อสองคนยามวิกาลอย่างนั้นหรือ
และสุดท้ายเขาอดคิดไปถึงบทสนทนาวันนั้นกับร้อยโทขจรไม่ได้
“นี่คือกล้องสอดแนมขนาดเล็ก มองเผิน ๆ จะเหมือนของตกแต่งห้อง เป็นกล้องคุณภาพ สูงสามารถถ่ายทอดมาที่คอมพิวเตอร์ในสน.นี้ได้ชัดทั้งภาพและเสียง มันสามารถจับความเคลื่อนไหวและหมุนเลนส์ตามเพื่อจับภาพได้ ให้คุณภาพคมชัดได้ในที่มืดด้วยระบบให้แสงในตัว สามารถใช้ได้นานโดยไม่ต้องชาร์จแบตเตอรี่เพิ่มถึงหนึ่งเดือน แค่เอามันไปวางในมุมกุฏิของหลวงพ่อโดยไม่ให้มีอะไรบัง นี่คือที่ผมจะขอความร่วมมือจากคุณในฐานะพลเมืองดี”
“ทำไม?” เขาจำได้ว่าถามไปด้วยเสียงแหบพร่า แววตาตื่นตระหนก
“เพราะมีคนร้องเรียนมาว่าสงสัยว่าหลวงพ่อซุกสีกาไว้ในกุฏิ เราต้องการหลักฐานที่แน่นหนา จะสุ่มสี่สุ่มห้าปรักปรำท่านไม่ได้ เพราะหลวงพ่อบวชเป็นพระมานานหลายพรรษา ตั้งแต่ยังหนุ่ม และเป็นคนพื้นเพที่นี่ ที่ชาวบ้านรักและศรัทธามาก อีกอย่างเอกหลานชายของหลวงพ่อเองก็มีเรื่องพัวพันทั้งยาเสพติด ลักเล็กขโมยน้อย ภาพในกล้องจะบอกเราได้ว่าหลวงพ่อมีส่วนรู้เห็นด้วยหรือไม่ ... ที่สำคัญอีกอย่างคือ ถึงคุณจะไม่ทำ ก็จะต้องมีคนเอากล้องตัวนี้ไปวางอยู่ดี”
นั่นคือเหตุผลที่เขาจำต้องเอามันไปวางไว้ในกุฏิของหลวงพ่อ เพราะถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ต้องเกิดขึ้น เขาได้แต่ภาวนาหวังว่ามันจะไม่ใช่เรื่องจริง ภาพและเสียงจากกล้องเท่านั้นจะเป็นตัวบอกทุกอย่าง
เขาลุกขึ้นยืนเอามือปัดฝุ่นออกจากตัว ถอนหายใจ ก้าวเดินกลับไปที่วัด ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว มืดเหมือนชีวิตของหลายคนในยามนี้
หวังว่ามันจะไม่มืดตลอดไป มันจะสว่างไสวเฉกเช่นตะวันขึ้นในยามรุ่งพรุ่งนี้ พรุ่งนี้ยังมีหวังเสมอ ... และเขาหวังว่ามันจะจริง
*****