เมืองกรุง บทที่ 11
บทที่ 11
กล้าเดินเอื่อย ๆ กลับจากที่ทำงานตาม ปกติ เห็นคนที่วัดมากมาย รถตำรวจจอดอยู่หน้ากุฏิของหลวงพ่อ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ กล้ารู้สึกสังหรณ์ใจแปลก ๆ มีอะไรเกิดขึ้นกันแน่
“นี่มันอะไรครับ มาทำอะไรกันเยอะแยะ” กล้าเอ่ยปากถาม เมื่อเห็นชาวบ้านมายืนมุงอยู่หน้าห้องของตัวเอง ต่างพูดซุบซิบกันจนฟังไม่ได้ศัพท์
“คุณคือเจ้าของห้องใช่ไหม? ผมร้อยตำรวจโทขจรได้รับแจ้งมีเหตุแทงกัน และเราพบมีดของกลางในห้องของคุณ” นายตำรวจเอ่ยขึ้น
กล้ามองมีดที่อยู่ในมือของตำรวจ แล้วพูดขึ้นว่า “แต่ผมไม่เคยเห็นมีดเล่มนี้มาก่อนเลยนะครับ”
“เรื่องนั้นค่อยว่ากันครับ ยังไงผมต้องขอเชิญตัวคุณไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจก่อนนะครับ”
กล้าถึงกับหมดแรง เดินคอตกตามนายตำรวจขจรไปด้วยความกังวล ตำรวจจะเชื่อไหมว่าเขาไม่ได้ทำ แต่เขาทำงานทั้งวันมีพยานยืนยันได้ และเขาไม่เคยเห็นมีดนั้นมาก่อนเลย กล้าพยายามตั้งสติคิดไตร่ตรอง ไม่กังวลจนเกินไป เขาหันไปมองหน้าหลวงพ่อและเอก ตาเขาไม่ได้ฝาดแน่ ๆ ไอ้เอกกำลังยิ้มมุมปากเยาะเย้ย หรือมันเป็นตัวการ ส่วนหลวงพ่อหลบสายตาเขาแล้วหันหลังเดินกลับเข้ากุฏิไปทันที
เมื่อมาถึงสถานีตำรวจ ร้อยโทขจรนำเขาเข้าไปนั่งยังห้องสอบสวน ทิ้งเขาไว้อย่างนั้นอยู่นาน และเมื่อกลับเข้ามา กล้าอ้าปากกำลังจะพูดแสดงความบริสุทธิ์ ร้อยโทขจรโบกมือเป็นเชิงห้ามไม่ให้เขาพูด และเป็นฝ่ายพูดขึ้นเองว่า
“ผมรู้แล้ว ไม่มีคนร้ายคนไหน โง่ทิ้งหลักฐานไว้ทนโท่แบบนั้นหรอก อีกอย่างบนด้ามมีดก็มีรอยนิ้วมือของคนร้ายตัวจริงปรากฏอยู่แม้ว่าจะให้การปฏิเสธก็ตาม” ร้อยโทขจรพักจิบกาแฟในมือและพูดต่อว่า
“ผมตรวจสอบมาแล้ว วันนี้คุณอยู่ที่ทำงานทั้งวัน ผมเองไม่ได้สงสัยคุณหรอก ผมก็แค่เล่นตามเกมของคนร้ายดู และอีกอย่างผมต้องการความร่วมมือจากคุณ”
กล้ามีสีหน้าดีขึ้นจากคำพูดของตำรวจ แต่ประโยคหลังนั้นทำให้เขาเริ่มรู้สึกเครียดขึ้นมาอีกครั้ง
“ความร่วมมือจากผม เรื่องอะไรครับ” แม้จะรู้ว่าตำรวจไม่ได้สงสัยอะไรในตัวเขาแล้ว แต่คำพูดที่จะขอความร่วมมือก็ทำให้กล้าหนักใจ
“มีสองเรื่อง เรื่องแรกเกี่ยวกับนายเอก มีสายรายงานมาว่านายเอกเป็นผู้ค้ายาเสพติด และเป็นโจรฉกชิง วิ่งราวชาวบ้านร้านค้า ซึ่งเรากำลังรวบรวมหลักฐานเพื่อเอาผิดเขาอยู่ ส่วนเรื่องที่สองเป็นเรื่องเกี่ยวกับหลวงพ่อ...”
กล้าหน้าซีดขึ้นทันทีที่รู้ความต้องการของร้อยโทขจร ถ้าเขาให้ความร่วมมือ เขาจะคือคนอกตัญญูที่ทำร้ายผู้ให้ที่พักพิงหลับนอน เขาควรทำอย่างไร และดูเหมือนคุณตำรวจก็ไม่ยอมให้เขาปฏิเสธเสียด้วย
“กลับมาแล้วเหรอ ตำรวจเขาว่ายังไงบ้าง” หลวงพ่อเอ่ยถามทันทีที่เขาก้าวขาเข้าประตูวัดมา
“หลวงพ่อมายืนทำอะไรตรงนี้ครับ ค่ำมืดแล้ว” กล้าสะดุ้งที่เห็นเงาตะคุ่ม แต่เมื่อเห็นเป็นหลวงพ่อก็ตกใจแทน
“หลวงพ่อเป็นห่วงเอ็ง เลยมายืนรอ คิดว่าเดี๋ยวคุณตำรวจเขาก็ต้องปล่อยเอ็ง เพราะเอ็งไปทำงานทั้งวัน จะไปแทงคนเขาได้ยังไงกัน อีกอย่างเอ็งน่ะมันคนสุภาพ พูดจาเพราะ คงไม่ไปทะเลาะกับใครหรอก”
“ครับหลวงพ่อ แต่เขาว่าแค่ตอนนี้ครับ แล้วห้ามผมไปไหน เผื่อมีหลักฐานอะไรเพิ่มเติมครับ ว่าแต่ดึกแล้วหลวงพ่อกลับกุฏิเถอะครับ เดี๋ยวผมเดินไปเป็นเพื่อน”
“ก็ดีเหมือนกัน ไปกันเถอะ” หลวงพ่อเดินนำหน้ากล้ากลับไปยังกุฏิ เมื่อถึงแล้วท่านก็เอ่ยชวนกล้าขึ้นว่า
“ห้องเอ็งยังสกปรก เหม็นกลิ่นคาวเลือด และเผื่อตำรวจเขาต้องมาเก็บหลักฐานเพิ่ม คืนนี้นอนที่นี่ก่อนก็แล้วกัน”
“ครับหลวงพ่อ”
หลวงพ่อเดินเข้าห้องด้านในที่เป็นส่วนไว้สำหรับจำวัดแล้ว กล้ายังนั่งกอดเข่า ครุ่นคิด เขาค่อย ๆ หยิบของบางอย่างที่ได้รับมาจากร้อยโทขจร จากกระเป๋าเสื้อเชิ้ต เขามองวัตถุกลม ๆ เล็ก ๆ ในมืออย่างตัดสินใจ เขาจะทำยังไงดี ไม่ทำก็จะถือว่าผิดกฎหมายไหม หากเขาทำผลมันจะเป็นยังไงกันนะ กล้ามองของในมืออย่างชั่งใจ ก่อนจะนำมันไปวางไว้ในมุมที่จะสามารถเผยแพร่ภาพได้ทั้งห้อง ตามที่ได้รับคำบอกวิธีการมาจากร้อยโทขจร
“หลวงพ่อครับ ผมขอโทษ ผมไม่มีทางเลือกจริง ๆ” กล้าเอ่ยกระซิบแผ่วเบา
*****