เมืองกรุง 10
บทที่ 10
วันนี้ท้องฟ้าสว่างจ้าสดใส เมฆสีขาวลอยเอื่อยตัดกับท้องฟ้าสีเข้มจัดอย่างที่กล้าชอบมอง ตอนเด็กเขามักจะนั่งมองเมฆสวย ๆ แบบนี้แล้วจินตนาการว่ามันคือรูปอะไร วันนี้ฟ้าก็ยังคงสวย แต่ใจของเขาเองที่หม่นหมองจนมองข้ามความสวยเหล่านี้ไป หลังกลับจากช่วยหลวงพ่อบิณฑบาต กล้าเตรียมแต่งตัวไปทำงานตาม ปกติ ใจยังคงสับสนวุ่นวายครุ่นคิดถึงแต่ภาพของหลวงพ่อกับบัว เมื่อเดินออกมาจากวัดมาได้นิดหนึ่ง เสียงคุ้นหูก็ดังขึ้น
“กล้า..เย็นนี้ไปบ้านพี่เจตน์กันอีกนะ เดี๋ยวบัวมารับ” บัวนั่นเองมานั่งดักรอกล้าอยู่ที่เดิมที่เคยเจอกัน พูดจบบัวก็บิดรถมอเตอร์ไซค์จากไป ไม่ได้อยู่รอฟังคำตอบของกล้าแม้แต่นิดเดียว
กล้าสับสนอลหม่านในหัวทั้งวัน ทำงานแทบไม่รู้เรื่อง เขาโกรธบัว ผิดหวังกับหลวงพ่อ เขาเบื่อ คิดถึงบ้าน อยากกลับบ้านเหลือเกิน ใจนึกไปถึงบทสนทนาเมื่อคืนที่พ่อโทรศัพท์มา
“เป็นยังไงบ้านลูก สบายดีไหม พ่อมีอะไรจะอวด” พ่อคุยกับเขาด้วยน้ำเสียงร่าเริง พร้อมส่งภาพมาให้เขาดู มันคือภาพหลังคาใหม่ของบ้าน หลังคาที่จะไม่รั่วยามฝนตกอีกต่อไป เพราะพ่อเปลี่ยนหลังคาใหม่หมดปูกระเบื้องสีฟ้าสวย
“สบายดีครับพ่อ แม่ล่ะเป็นไงบ้าง”
“แม่สบายดีจ้าลูก” เสียงแม่เขาแทรกมา พ่อคงเปิดลำโพงตามที่เขาเคยบอก จะได้ฟังและพูดคุยได้พร้อมกัน ไม่ต้องรอให้อีกคนเล่า ซึ่งมักไม่ทันใจแม่
“นี่แม่ก็เตรียมทำบุญกฐินให้เอ็งนะ เอาเงินที่ส่งมาให้นี่แหล่ะ ว่าจะทำหน้าต่างสักบาน หลวงพ่อท่านจะบูรณะศาลาน่ะลูก”
“ครับแม่”
“ว่าแต่เอ็งจะกลับมาใช่ไหมตอนกฐินน่ะ จะพาผู้สาวมาให้แม่ดูหน้าด้วยไหม” เสียงแม่เจื้อยแจ้วเข้ามา ในขณะที่กล้าเหม่อลอย ยิ่งแม่ถามถึงแฟน เขาก็คิดถึงผู้หญิงทั้งสองคนในชีวิต คนหนึ่งหรือก็สูงเกินเอื้อมมือคว้าแม้ใจจะปรารถนา อีกคนรึเขาไม่แน่ใจเลยว่าอยู่ในสถานะไหนกัน แม้จะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันก็ตาม บัวไม่เคยพูดว่าเราเป็นคนรักกัน นึกจะมาจะไปตอนไหนกล้าไม่มีสิทธิ์ถามถึง อยากมาหาก็มาดักรอ ไม่อยากมาก็หายไปและสั่งห้ามเด็ดขาดไม่ให้เขาไปหา
หลังคุยกับพ่อและแม่เมือคืนแล้ว เขาได้ข้อสรุปเดียวว่าภารกิจเขายังไม่สำเร็จ เขาเป็นความหวังของพ่อแม่ น้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขแบบนั้นเขาไม่กล้าทำลายมัน เขาคงจะต้องอดทนต่อสู้อยู่ในเมืองกรุงนี้ต่อไป
*****
เอกหันรีหันขวาง ในมือมีมีดยาวเปื้อนเลือด มันรีบวิ่งหนีกลับเข้ามาในวัด เมื่อเผลอแทงเพื่อนร่วมวงเหล้าด้วยความโมโห ที่ไอ้นั่นพูดจาดูถูกว่าเกาะชายผ้าเหลืองหลวงพ่อ ไม่มีใครรักหากแต่ที่เขาดีด้วยเพราะเกรงใจหลวงพ่อ ได้ฟังแค่นั้นสติก็ขาดผึง ชักมีดมาเสียบไอ้คนปากหมาแล้วรีบลุกออกมาจากวงเหล้าทันที ไม่รู้เลยว่าไอ้นั่นเป็นหรือตาย ดีที่กินเหล้ากันสองคนไม่มีพยานรู้เห็น
เอกปาดเหงื่อ พยายามตั้งสติ ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นทางออก ใช่แล้วไอ้กล้า คือทางออกของมัน รีบเดินเข้าไปริมหน้าต่างห้องของกล้า ดันแหวกมุ้งลวดออกแล้วโยนมีดเข้าไปในนั้น
เย็นนั้นที่วัดคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ตำรวจได้เข้ามาตรวจสอบภายในวัดเนื่องจากได้รับแจ้งเหตุมีคนแทงกัน นายมีได้รับบาดเจ็บสาหัส จากการโดนแทง อาการเป็นตายเท่ากัน ยังอยู่โรงพยาบาล และยังไม่ออกจากห้องไอซียู มีคนเห็นว่านายมีนั่งกินเหล้ากับนายเอก ตำรวจจึงมาสอบสวน
เอกให้การปฏิเสธและยืนยันว่าวันนี้เขาไม่ได้ไปไหนเลยไม่เชื่อถามหลวงพ่อได้
“จริงเหรอครับหลวงพ่อ ที่นายเอกอยู่ที่วัดทั้งวัน” นายตำรวจเอ่ยถาม
“เอ่อ...ก็ตั้งแต่อาตมานั่งอยู่นี่ก็ไม่เห็นมันไปไหนนะ” หลวงพ่อตอบไป พลางเหลือบสายตามองหลานชายด้วยความขุ่นเคือง “หนอยแน่ะมึงไอ้เอก หาเรื่องให้กูแท้ ๆ กูเป็นพระจะให้มุสาเพราะมึงเนี่ยนะ ไอ้หลานเลว” หลวงพ่อคิดอย่างแค้นเคืองในตัวหลานชาย แต่คำตอบเลี่ยงบาลีที่ตอบไปก็ถือว่าไม่มุสา เพราะตอนที่นั่งอยู่นี้ไอ้เอกก็อยู่ตรงนี้ตลอด เวลา แต่ก่อนหน้านั้นเป็นอีกเรื่อง
“ถ้าคุณตำรวจไม่เชื่อจะลองค้นในวัดดูก็ได้นะครับว่ามีหลักฐานไหม” ไอ้เอกเอ่ยปากท้าทายตำรวจ ด้วยความกระหยิ่มใจ
“ก็ดีเหมือนกัน หลวงพ่ออนุญาตไหมครับ”
หลวงพ่อพยักหน้า นายตำรวจจึงลุกเดินไปสำรวจห้องของนายเอกตามคำท้า นอก จากความสกปรกรกรุงรังเหม็นสาบเสื้อผ้าใช้แล้ว ก็ไม่พบอะไร เมื่อออกมายืนหันรีหันขวางหน้าห้องพัก มองไปฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นห้องพักของกล้า จึงเอ่ยปากถาม
“แล้วนั่นห้องใคร” นายตำรวจเอ่ยถาม
“ห้องของเด็กวัดอีกคนน่ะ มันไปทำงานยังไม่กลับ” หลวงพ่อตอบ
“งั้นผมขอดูได้ไหมครับ”
หลวงพ่อพยักหน้า เดินเข้าไปหยิบลูกกุญแจออกมายื่นให้
“เจอแล้วครับของกลาง” เสียงนายตำรวจกล่าวขึ้นหลังจากเดินเข้าไปสำรวจภายในห้องเพียงครู่เดียว เสียงฮือจากชาวบ้านดังขึ้นฟังไม่ได้ศัพท์ ต่างวิพากษ์วิจารณ์ไปต่าง ๆ นานา
หลวงพ่อหันไปมองหลานชายด้วยสายตาผิดหวัง ท่านรู้ในทันทีว่าอะไรเป็นอะไร แล้วท่านจะทำยังไงดี นี่ก็หลาน นั่นคนอาศัย ท่านจะเลือกความถูกผิด หรือจะเลือกสายเลือด หลวงพ่อแววตาหม่นหมอง ครุ่นคิด
*****