เมืองกรุง 9
บทที่ 9
ฟ้า ... ยืนกอดอกเหม่อมองท้องฟ้าสีส้มที่ฉาบฉายแสงส้มปนเทาไปทั่วผืนฟ้าเบื้องหน้า เธอครุ่นคิดถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านมาด้วยใจที่หงอยเหงาไม่ต่างกับฟ้าเบื้องหน้า รับรู้และรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงไปของกล้า นับตั้งแต่ผู้หญิงคนนั้นก้าวเข้ามา เธออดเป็นห่วงไม่ได้ เธอรู้ดีว่าพ่อไม่เห็นด้วยที่เธอทำตัวสนิทสนมกับกล้า แต่เรื่องของความรักมันห้ามกันไม่ได้ เธอเคยเจอแต่หนุ่มเจ้าสำอาง คุย โม้โอ้อวดว่าตัวเองดี เก่ง สารพัด ทั้งที่ยังแบมือขอเงินพ่อแม่ ส่วนกล้านั้น ..สุภาพ อ่อนโยน ขยัน และชอบอ่านหนังสือเหมือนเธอ หนังสือเหมือนเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ของเธอกับกล้า เธอมีความสุขทุกครั้งที่ได้พูดคุยกันถึงหนังสือต่าง ๆ ที่เคยอ่าน การถกประเด็นในเรื่องราวต่าง ๆ ทำให้รู้ว่ากล้าฉลาดและมีความคิด เพียงแต่ความจนเท่านั้นที่ทำให้กล้าต้องมาทำงานตำแหน่งเล็ก ๆ นี้ หากเขามีโอกาสได้เรียนต่อคงไปได้ไกลแน่
“มายืนเหม่ออะไรตรงนี้ลูก” ทวียืนมองลูกสาวอยู่นานแล้ว พักนี้ลูกสาวสุดที่รักของเขาเหม่อลอย เศร้าซึม ไม่สดใสร่าเริงเหมือนเดิม นั่นเป็นความผิดของเขาใช่ไหมที่ห้ามไม่ให้กล้าเข้าใกล้ฟ้า หรือความรักความปรารถนาดีของเขากลับกลายเป็นสิ่งที่ทำร้ายแก้วตาดวงใจของเขาเสียเอง ภาพเหม่อลอยที่เห็นทำให้หัวใจของคนเป็นพ่อปวดร้าวใจยิ่งนัก
“คุณพ่อ... ฟ้าก็คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะค่ะ ทานข้าวกันเลยดีไหมคะ เย็นแล้ว” พูดจบฟ้าก็เดินยิ้มเข้ามาจับแขนทวีเดินไปที่โต๊ะกินข้าวด้วยกัน ยิ้มของลูกที่เห็นกลับทำให้เศร้ายิ่งไปกว่าเดิม ยิ้มที่เผยอแค่มุมปาก แต่แววตากลับเศร้าสร้อย เขาคงจะต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว
ระหว่างกินข้าว สองพ่อลูกคุยกันเบา ๆ ถึงสถานการณ์บ้านเมือง กับภัยร้ายที่คืบคลานเข้ามารอบด้านจากการติดเชื้อโควิด19 จนมีมาตรการต่าง ๆ ออกมาจากภาครัฐมากมาย ดีที่ธุรกิจของเขาแม้จะเล็กแต่ก็มั่นคง และเขามีเงินเก็บอยู่บ้างจึงไม่เดือดร้อนนัก แต่ถ้าคนมวลรวมสะเทือนเดือดร้อนย่ำแย่ ไม่นานความเดือดร้อนคงกระจายไปทุกภาคส่วนอย่างไม่ต้องสงสัย
“ช่วงนี้อย่าออกไปไหนมาไหนเลยนะลูก เห็นแม่บ้านว่าบ้านถัดไปสองหลังไปสงกรานต์ที่ต่างจังหวัดมา ตอนนี้ติดโควิดไปโรงพยาบาลแล้ว คนที่เหลือในบ้านก็ยังลุ้นอยู่ว่าจะติดไปด้วยไหม” เขาเอ่ยขึ้นด้วยความห่วงใย
“คุณพ่อก็เหมือนกันค่ะ ระมัดระวังตัวด้วยนะคะ เรามีกันแค่สองคน ฟ้ารักคุณพ่อนะคะ”
พูดจบฟ้าก็เดินมาจูงมือทวีออกไปเดินเล่นบริเวณหน้าบ้านเพื่อพักผ่อนหลังกินข้าวเหมือนเช่นเคย แม้ว่าดอกไม้จากต้นแก้ว และดอกปีบที่ทั้งคู่ชื่นชอบจะยังคงส่งกลิ่นหอมฟุ้งจรุงใจ แต่กลับเป็นวันที่ไร้ซึ่งบทสนทนา ทั้งสองคนตกอยู่ในภวังค์ของตัวเอง ต่างนั่งกันเงียบ ๆบนชิงช้าหน้าบ้านนั้นอย่างหงอย ๆ
*****
ที่สำนักงานยามเย็นของทวีก็เฉกเช่นเดิมไม่ต่างจากทุกวัน กล้าแม้จะเปลี่ยนแปลงไปในสายตาของฟ้า แต่ก็แค่ความห่างเหินทางความ สัมพันธ์ กล้ายังคงเป็นพนักงานที่ขยัน กลับช้าที่สุดเหมือนเคย วันนี้กล้าไม่ต้องไปหาบัว เพราะวันนี้คือวันที่บัวบอกเขาว่าต้องไปทำงาน เขาเดินเอื่อย ๆ กลับวัดอย่างไม่เร่งรีบ แวะส่งธนาณัติให้พ่อแม่เหมือนเช่นทุกเดือน และเขาเตรียมเงินส่วนหนึ่งจะมอบให้หลวงพ่อเป็นค่าน้ำไฟ แม้จะเล็กน้อยแต่มันก็ทำให้เขารู้สึกดีว่าตนไม่ได้มาเกาะวัดไปเปล่า ๆ
ขณะเดินขึ้นไปบนกุฏิของหลวงพ่อ เขาได้ยินเสียงพูดคุย เป็นเสียงหลวงพ่อกับหญิงสาว และเสียงนั้นช่างคุ้นเคย เมื่อเขาเดินเข้าไปข้างใน ก็เห็นบัวนั่งประกบอยู่ด้านข้างของหลวงพ่อด้วยความใกล้ชิด ขาของบัวแนบชิดไปกับขาของหลวงพ่อ เขาตกใจยืนตะลึง จนกระทั่งบัวเงยหน้าขึ้นมามอง
“กล้า ...” พูดแล้วบัวก็กระเถิบตัวออกห่างจากหลวงพ่อทันที
“อ้าวกล้า มีอะไร” หลวงพ่อเอ่ยปากพูดคุยกับกล้าด้วยน้ำเสียงปกติ
“เอ่อ...ผมเอาค่าน้ำค่าไฟมาให้หลวงพ่อครับ” กล้าพูดพลางนำเงินวางลงบนพานที่ตั้งอยู่อีกด้านของหลวงพ่อ พลางลอบมองบัวด้วยหางตา ท่าทางกระสับกระส่ายของบัว ทำให้เขาคิดไปถึงเช้าวันนั้นที่เขาเห็นผู้หญิงออกมาจากห้องด้านในของหลวง งั้นเขาก็ไม่ได้ตาฝาด เป็นบัวเองใช่ไหม ผู้หญิงในวันนั้น เพราะแบบนี้เอง บัวถึงมีเงินใช้มือเติบ เพราะบัวมีความสัมพันธ์กับหลวงพ่ออย่างนี้นี่เอง เขาคิดด้วยความปลาบแปลบใจ
“เออ...ดี ขอให้เจริญรุ่งเรือง คนดีแบบเอ็ง คงจะสบายในอนาคต ขยันตั้งใจทำงานเข้าล่ะ” หลวงพ่อบอกเขาด้วยน้ำเสียงเมตตา
“ครับ หลวงพ่อ” เขากล่าวจบก็เดินออกมาจากกุฏิของหลวงพ่อ มายืนมองกุฏิหลังนั้นด้วยความสับสน เสียใจเหลือเกินที่หลวงพ่อทำให้เขาผิดหวัง หรือเพราะเป็นบัว เขาตอบตัวเองไม่ได้ ได้แต่ยืนเฝ้ามองอยู่อย่างนั้น จนเกือบฟ้าสางเขาจึงเห็นบัวค่อย ๆ ย่องออกมาจากกุฏิของหลวงพ่อ กล้ายืนซึมมองภาพนั้นก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าห้องไป
ระหว่างกล้าเดินตามหลวงพ่อที่ออกรับบิณฑบาตเช้านั้นตามปกติ ท่าทีของหลวงพ่อยังคงเป็นปกติเช่นเดิม แต่ใจของกล้านั้นต่างหากที่เปลี่ยนไป ความศรัทธาในตัวของหลวงพ่อหายไปหมดสิ้น
เขาคิดถึงพ่อกับแม่เหลือเกิน เกือบปีมาแล้วที่เขาจากมา เป็นช่วงเวลาที่ชีวิตเขามีหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไปมากมาย
เขาเริ่มสับสนว่าคิดถูกหรือผิดที่จากบ้านมา ขอบฟ้าที่พระอาทิตย์ทอแสงเป็นประกายขึ้นมายังคงให้ความสดใสอบอุ่นกับทุกชีวิต หากแต่ใจของเขาในวันนี้กลับหม่นหมองเสียเหลือเกิน นี่หรือเมืองกรุงที่เขาใฝ่ฝันมาตามหา
*****