‘ซิคเว่’ ลั่นไม่ย้ายฐานลงทุน หวังปิดดีล ‘ทรูฯ-ดีแทค’ สิ้นเดือนนี้
เนื่องในโอกาสที่กลุ่มเทเลนอร์เข้ามาทำธุรกิจในเอเซีย 25 ปีที่ผ่านมาและกว่า 20 ปีในประเทศไทย ทำให้เห็นว่าคนไทยมีโอกาสเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้น และตลอดระยเวลาดังกล่าวดีเทคและเทเลนอร์ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงในตลาดของประเทศไทยในหลากหลายด้าน พร้อมทั้งนำหลักการในการทำธุรกิจของเอเซียไปปรับใช้ในการทำธุรกิจในที่อื่นๆ ด้วย
ซิคเว่ เบรคเก้, President and CEO กลุ่มเทเลนอร์ แถลงข่าว เทเลนอร์ ฉลอง 25 ปีในเอเชีย และพูดถึงประเด็น สำหรับดีล ‘ทรูฯ-ดีแทค’ ว่า ยังคงมีความหวังและมองว่าจะบรรลุเป้าหมาย หากการควบรวมไม่ใช่สิ่งที่ดี ทั้ง 2 บริษัทคงไม่ใช้เวลาและความพยายามมากมายเพื่อทำเรื่องนี้ และยืนยันไม่มีแผนปลดพนักงาน แต่จะมีแพ็กเกจจูงใจพนักงานที่สมัครใจลาออก
“ถ้าควบรวมไม่สำเร็จ ทุกอย่างก็กลับไปเหมือนเดิม ยืนยันว่าดีแทค ซึ่งอยู่ในไทยมากว่า 20 ปี จะยังอยู่ต่อไป แต่จะไม่ส่งผลดี โดยเฉพาะต่อการแข่งขันและการลงทุนของประเทศ หากปล่อยให้ทรูและดีแทค ผู้ให้บริการ 2 รายที่อ่อนแอกว่าเอไอเอส ต้องอ่อนแอต่อไป”
เชื่อมั่นว่าคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มีกลไกกำกับดูแลได้ ทำให้ไม่กังวลว่า “ค่าบริการจะแพงขึ้น”
เพื่อทำให้ดีเทคที่อยู่อันดับ 3 ให้เติบโต เข้มแข็ง และแข็งแกร่งได้ในระดับโลก จึงต้องขยับจากการทำธุรกิจโทรคมนาคมเพียงอย่างเดียว สู่บริษัทเทคโนโลยี เพื่อแสวงหาการเติบโตใหม่ๆ ที่จะทำให้บริษัทใหม่มีความเข้มแข้ง และสามารถแข่งขันได้ทัดเทียมกับ AIS
“อุตสาหกรรมโทรคมนาคมกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ (Perfect storm) ด้วยเทคโนโลยีใหม่–ปัญญาประดิษฐ์, IoT และ 5G มารวมกัน จะไม่ใช่การเชื่อมต่อแค่ผู้คนเข้าด้วยกันอีกต่อไป แต่เชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ กับอินเทอร์เน็ต และมีการใช้ดาต้ามากมายมหาศาล และจะต้องใช้ AI เพื่อให้เข้าใจถึงดาต้าจำนวนมหาศาลที่สร้างขึ้น จะต้องใช้ความเร็ว 5G เพื่อเชื่อมต่อสิ่งต่าง ๆ นับร้อยนับพัน”
“และดีแทคจะเดินสู่การขับเคลื่อนของเทคโนโลยี 5G AI และ IOT ที่จะก่อให้เกิดโอกาสในอนาคต”
การแข่งขันของธุรกิจโทรคมนาคมได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ไม่ใช่แข่งขันแค่ในอุตสาหกรรมเพียงอย่างเดียว แต่รวมไปถึงในแพลตฟอร์มระดับโลกต่าง ทั้ง AWS Google และ Microsoft โดยบริษัทเหล่านี้จะเป็นทั้งคู่แข่งและพันธมิตรไปพร้อมๆ กัน
การรวมกิจการของเอเชียต้าและดิจิในประเทศมาเลเซียที่กำลังจะเกิดขึ้น จะทำให้เกิดบริษัทใหม่ที่มีความพร้อมในการลงทุนที่รองรับการเปลี่ยนสู่ยุคดิจิทัล รวมถึงความพร้อมในการขัเบคลื่อนธุรกิจขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ ให้เติบโต รวมถึงการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจทิลในระดับชาติให้เติบโตทัดเทียมกับประเทศอื่นๆ ได้
ดังนั้น ถ้าดีแทคและทรูสามารถร่วมมือกันได้ก็จะทำให้บริษัทใหม่ที่เกิดขึ้นมีความเข้มแข็งที่จะสามารถแข่งขันในตลาด ไม่ใช่แค่ตลาดในประเทศ แต่รวมไปถึงตลาดในระดับโลก ที่จะสามารถดึงดูดเม็ดเงินในการลงทุน และพัฒนาบริการใหม่ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคได้มากขึ้นด้วย
หวังว่ากระบวนการพิจารณาที่จะเกิดขึ้นจากกสทช. จะมีความชัดเจน และรวดเร็ว เพื่อไม่เกิดผลกระทบต่อแผนการลงทุนของทั้ง 2 บริษัท ถ้าหากไม่อนุมัติให้เกิดการควบรวมได้ ดีแทคก็คงจะอยู่ในฐานะผู้ตามที่ไม่แข็งแกร่งในอุตสาหกรรมนี้ร่วมกับทรูต่อไป