หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

เล่าต่อ อุทิศแด่วาด รวี (2)

โพสท์โดย เล่าสู่กันฟัง

อุทิศแด่วาด รวี (ต่อ)

 

ในภาคชีวิตร่วมสมัย ช่วงปี 2553 เป็นต้นมา เหตุการณ์ทางการเมืองไปถึงจุดไม่อาจย้อนกลับ เมื่อเกิดเหตุการณ์สังหารหมู่คนเสื้อแดงกลางเมืองหลวง นั่นคือการข้ามเส้น จุดแตกหัก และ ‘ตาสว่าง’ ของผม ทว่าวาด รวี รวมถึงนักเขียนรุ่นพี่คนอื่นๆ เช่น วรพจน์ พันธุ์พงศ์ พวกเขาไปอยู่ร่วมสังเกตการณ์การชุมนุมก่อนหน้านั้นแล้ว ความระอุเดือดอันแรงร้อนเข้าแผดเผาผู้คน โดยเฉพาะการถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกล้มเจ้า มีการฟ้องร้องและดำเนินคดีประชาชน ด้วยกฎหมายอาญามาตรา 112 เพิ่มมากขึ้น การใส่ร้ายป้ายสี ดำเนินคดีทั้งกับผู้ชุมนุม ผู้เห็นต่างทางการเมือง ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะอาชีพใด ประเด็นเรื่องล้มเจ้าล้มสถาบันไปถึงจุดตัดญาติขาดมิตร เลิกคบเลิกรักกัน ตัดลูกตัดพ่อแม่ ห้ามใช้นามสกุล เกิดการล่าแม่มดโดยสื่อสิ่งพิมพ์บางหัว ถูกไล่ออกจากงาน ปลดบีบให้ออกจากสถาบันการศึกษา ทำร้ายร่างกาย ดำเนินคดีทางกฎหมาย เกิดจากฝ่ายที่อ้างว่าจงรักภักดี ทำให้คนที่ตั้งคำถามหรือแม้แต่จะสนทนาพูดคุยเรื่องสถาบันอย่างเป็นกิจจะลักษณะ อย่างเป็นวิชาการ – ทำให้เป็นสิ่งที่แตะต้องไม่ได้ – ใช้มาตรการแทรกแซงทั้งใต้ดินบนดินเพื่อให้ผู้คนหุบปาก 

 

 ช่วงก่อนเกิดเหตุสังหารคนเสื้อแดงกลางเมือง ทุกคราวที่วาด รวีนัดผมเพื่อมารับต้นฉบับไปพิสูจน์อักษร หรือบรรณาธิการเล่ม เราใช้เวลาที่เหลือจากส่งงานนั่งสนทนากันเรื่องสถานการณ์บ้านเมือง ความหวั่นวิตกที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีสุเทพ เทือกสุบรรณเป็นกุนซือในขวบปีนั้น มีความเป็นไปได้ว่าจะไม่ฟังเสียงเรียกร้องของผู้ชุมนุม มีความเป็นไปได้ว่าจะปราบปรามผู้ชุมนุม "อภิสิทธิ์กับพวกอำมหิตกว่าที่คิดไว้เยอะ" นั่นคือความกังวลใจใหญ่หลวงของวาด รวี ในขณะที่ผม ยังอยู่ในสำนึกรู้คิดอันละอ่อน อยู่ในโลกข้อมูลข่าวสารจากทางทีวีสาธารณะ ที่ยังเชื่อเสมอว่าสื่อเหล่านี้ หากมีการกระทำอันรุนแรงจริง มีความผิดจริง ไม่ว่าจากทางเจ้าหน้าที่รัฐและ/หรือผู้ชุมนุม สื่อจะต้องรายงานข่าว และถ่ายทอดให้รับรู้อย่างตรงไปตรงมา ไม่เข้าข้างฝ่ายใด สื่อจะเป็นหูเป็นตาไม่ให้มันเกิดขึ้น วาด รวีแค่นหัวเราะ “คุณไม่รู้อะไร” เขาพูดประมาณนั้น “ข้อเท็จจริง ความจริงมันกลาดเกลื่อนอยู่ในโลกออนไลน์ ผู้คนเขามุดกันเข้าไปหาความจริงในนั้นกันหมดแล้ว อุทิศคุณมันไม่เล่นอินเทอร์เน็ต จมอยู่แต่กับเขียนนิยาย” วาด รวีปรามาสผม และก็จริงทีเดียว ต้องใช้เวลาอีกสักพักผมถึงจะตระหนักวิธีที่รัฐบาลควบคุมสื่อสาธารณะในมือ เหมือนเมื่อเกิดรัฐประหารทุกครั้ง สิ่งแรกที่จะต้องทำคือ ทหารจะเข้าควบคุมเครือข่ายสถานีโทรทัศน์และวิทยุกระจายเสียง และบอกในสิ่งที่พวกเขาอยากจะให้ประชาชนรับรู้เพียงฝ่ายเดียว หลังเหตุการณ์เมษา 2553 ผมเกิดอาการผิดหวังไปทุกภาคส่วน ผิดหวังกับสื่อกระแสหลัก กับนักการเมือง กับทหาร กับเพื่อนพ้องมิตรภาพในแวดวงวรรณกรรม กับศาล กับความยุติธรรม กับสถาบันต่างๆ ทางสังคม ผิดหวังกับสำนึกรู้คิดของตัวเอง เราอยู่ในโลกในประเทศที่มันจะยังดีอยู่ถ้าเรามองไม่เห็นความปลิ้นปล้อน หน้าไหว้หลังหลอก แต่ถ้าเราตาสว่าง และมองเห็นมันแล้ว ความปลิ้นปล้อน หน้าไหว้หลังหลอกเหล่านั้นเองที่ถล่มลงมาใส่ตัวเรา นั่นคือความกระอักจากเคืองแค้น อกหัก และเจ็บช้ำจากระบบ ตรรกะ วิถีและวิธีที่เราใช้ดำเนินชีวิตมาก่อนหน้านี้ เราเคยคาดหวังว่าหลักเหล่านั้นจะปกป้องคุ้มครองเรา ตอนนี้พวกมันถล่มทลายทับลงมาใส่ 

 

 เป็นช่วงเวลาที่วาด รวีเดินสายพูดคุย ถกสนทนากับเพื่อนนักเขียน พวกเราเป็นนักเขียน สิทธิเสรีภาพทางการแสดงออกเป็นหัวใจของนักเขียน พวกเราจะเงียบใบ้ไม่ออกมาปกป้อง เรียกร้องสิทธิเหล่านี้ละหรือ โดยเฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้คนในสังคม มันเกิดขึ้นแล้ว และไม่ถูกต้อง แม้ยังไม่เกิดขึ้นกับตัวนักเขียนเอง แต่เกิดขึ้นกับผู้คนที่นักเขียนอยู่ร่วมด้วย นักเขียนจะไม่ปกป้องสิทธิเสรีภาพของผู้คนในสังคมละหรือ อย่างน้อยที่สุดก็ควรส่งเสียงบอกสิ่งที่ถูกต้อง ในสภาพที่ผู้คนถูกรุมรังแกรุมล่ารุมตีด้วยมาตรการที่ไม่ถูกต้องเช่นนี้ 

 

 เป็นวาด รวีนี่เองที่เขียน ‘จดหมายเปิดผนึกถึงเพื่อนนักเขียนไทยทั่วประเทศ เรื่อง ขอเชิญร่วมลงชื่อให้มีการแก้ไขมาตรา 112 และยุติการใช้ข้อกล่าวหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพปิดกั้นการแสดงออกและแสดงความคิดเห็นทางการเมือง’ เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2554 จดหมายเปิดผนึกนี้มีเพื่อนนักเขียนร่วมลงชื่อมากถึง 359 รายชื่อ นับเป็นปรากฏการณ์ที่หาได้ยากยิ่งที่จะรวบรวมนักเขียนหลากหลายทั่วประเทศ มีความคิดเห็นแตกต่างทางการเมือง แต่เห็นพ้องต้องด้วยกับจดหมายเปิดผนึกนี้ร่วมกัน (ต่อมาภายหลัง รายชื่อเหล่านี้ถูกเผยแพร่ในเว็บไซต์และเว็บบอร์ด ในลักษณะล่าแม่มดจากสื่อคลั่ง จนทำให้นักเขียนหลายคนได้รับผลกระทบไปตามๆ กัน) 

 

 และต่อมา นี่คือรุ่งอรุณของการเกิดขึ้นของกลุ่มคณะนักเขียนแสงสำนึก ต้องใช้ความกล้าหาญและน้ำใสใจจริงอย่างมากที่กลุ่มนักเขียนแรกเริ่มจะร่วมแรงร่วมใจกันช่วยผลักดันและทำความเข้าใจ ร่วมกันส่งเสียงในประเด็นสาธารณะที่แหลมคมเช่นนี้ ทั้ง วาด รวี ปราบดา หยุ่น วรพจน์ พันธุ์พงศ์ ดวงฤทัย เอสะนาชาตัง กิตติพล สรัคคานนท์ ซะการีย์ยา อมตยา คือผู้ริเริ่มก่อตั้ง และผมได้ถูกชักชวนเข้าร่วมต่อมา พวกเราสนทนากันผ่านอีเมลเป็นส่วนใหญ่ ในช่วงปลายปี 2554 (อันที่จริงเพื่อนนักเขียนกลุ่มแสงสำนึกมีช่องทางถกสนทนากันมามากหลายช่องทางก่อนหน้านี้ แต่เนื่องจากผมเป็นบุคคลอะนาล็อกที่สุด ยังไม่มีแอ็กเคาน์ในโลกออนไลน์เสียเลย เพื่อจะดึงผมเข้าร่วมได้ วาด รวีจึงดึงทั้งกลุ่มมาติดต่อสื่อสารผ่านทางอีเมล ตามประสามนุษย์เฉิ่มเชยผู้ยังไม่มีเฟซบุ๊กในตอนนั้น ทำให้สร้างความลำบากด้านช่องทางสื่อสารกับเพื่อนนักเขียนไปทั้งกลุ่ม) 

 

 อันที่จริง วาด รวี ได้แบกชื่อพวกเราทั้งหมดเข้าร่วมงานกิจกรรมภาคสนาม ไม่ว่าจะงานเสวนาทางวิชาการ กิจกรรมเคลื่อนไหวด้านประชาธิปไตย และส่งเสริมสิทธิเสรีภาพ วาด รวีนำพาพวกเราเชื่อมต่อกับนักวิชาการ คณาจารย์ในมหาวิทยาลัย รวมถึงนักกิจกรรมเคลื่อนไหวทางการเมืองคนอื่นๆ เริ่มจากคณะนิติราษฏร์ และต่อมาต้นปี 2555 มีการเปิดตัว ‘คณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 (ครก.112)’ กลุ่มคณะนักเขียนแสงสำนึกก็เข้าร่วมด้วย วาด รวีทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจในกิจกรรมอันเจตนาดี และเป็นเจตจำนงอันประเสริฐนี้ โดยตัวผมเองนั้นเข้าร่วมกิจกรรมด้วยน้อยมากๆ (มานึกย้อนดู ช่วงปีนั้นผมเดินทางกลับบ้านเกิดบ่อยมาก เนื่องจากน้องชายมีคดีความ ติดคุก และต้องขึ้นโรงขึ้นศาลเป็นประจำ - ประสบการณ์อันขมขื่นและเป็นบาดแผลทางใจในครอบครัวของผมนี้ ต่อมาผมนำมาเขียนเป็นส่วนหนึ่งในนวนิยายจุติ) 

 

 วาด รวีเป็นคนอ่อนหวาน สัตย์ซื่อ มีรสนิยมอันเฉิ่มเชยในเรื่องศิลปะ ดูหนัง ฟังเพลง และการแต่งเนื้อแต่งตัวอย่างน่าเอ็นดู ถ้าคุณแซวเขาเรื่องนี้เขาจะยิ้มหวานและเถียงคุณไม่ได้ (แค่แซวขำๆ ก็พอ ถ้าคุณตั้งเป้าโจมตีเขาด้วยเรื่องนี้อย่างเอาจริงเอาจังผมจะถือว่าคุณชกใต้เข็ดขัดเขา) เขาสุภาพเรียบร้อยแต่มีสิ่งคุคั่งอยู่ข้างในใจ ดื้อรั้นเงียบลึก เขาเป็นผู้ชายที่อบอุ่นไว้ใจได้สำหรับผู้หญิง แม้บุคลิกภายนอกจะดูเป็นคนโผงผาง ชอบทุ่มเถียงท้าทายในประเด็นแหลมคม แต่เขาเป็นคนที่คุยเรื่องอะไรแล้วจบในวง ไม่มีค้างใจ เก็บไปคิดเล็กคิดน้อย หรือพาลไปประเด็นเรื่องอื่นๆ ทุ่มเถียงกันหน้าดำหน้าแดงอาจถึงขั้นร้องไห้ แต่พอเถียงจบเขาก็จะกลับเป็นตัวเขา รุ่งขึ้นถ้าเขาโทรหาก็จะทักทายกันปกติ และเดินหน้าทำงานร่วมกันในเรื่องอื่นๆ ต่อไป เขาเป็นคนอ่อนหวานและสุภาพโดยเนื้อแท้ เขาเป็นพี่ชายของผมได้ อันที่จริงเมื่อดูจากความประพฤติและน้ำใสใจจริงที่วาด รวีมีต่อผมตั้งแต่แรกเริ่มรู้จักกัน สิ่งที่ผมไม่เคยมีและหากจะอยากมี – พี่เป้ วาด รวี คือพี่ชายของผม

เนื้อหาโดย: เล่าสู่กันฟัง
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
เล่าสู่กันฟัง's profile


โพสท์โดย: เล่าสู่กันฟัง
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
เตโอตีวากาน (Teotihuacan) กับตำนาน วันสิ้นโลก เมืองโบราณที่ไม่รู้ใครสร้างเลขเด็ด "แม่นมาก ขั้นเทพ" งวดวันที่ 2 มกราคม 68 มาแล้ว!..อยากรวย มาส่องกันเลย!!เงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 3 มาแน่! คนทั่วไปรับผ่านดิจิทัลวอลเล็ต กระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
น้องเต้าหู้แจกไข่ให้ชาวบ้าน แต่กลับเจอมนุษย์ป้ารุมเข้ามาจัดการ ทำเอาน้องอึ้งจนพูดไม่ออก เห็นแล้วรู้สึกอายแทนจริงๆน้ำใจยิ่งใหญ่! หนุ่มไร้เงินขอติดรถกลับบ้าน เจอผู้ให้เต็มคันสุดอบอุ่น
กระทู้อื่นๆในบอร์ด นิยาย เรื่องเล่า
โบราณสถานอายุกว่า 1,300 ปี แห่งไซบีเรีย ซึ่งเต็มไปด้วยปริศนาที่รอคำตอบโบสถ์เซนต์แมรี่แห่งไซออน, เอธิโอเปียเขาพระวิหาร: สัญลักษณ์แห่งความงดงามและความขัดแย้งภาพสุดท้าย
ตั้งกระทู้ใหม่