"ยายแฟง" “คังคุไบ” เมืองไทย ผู้สร้าง รพ.กลาง แต่แรกใช้ชื่อ รพ.หญิงหาเงิน
ยายแฟง ผู้สร้าง รพ.กลาง
แต่แรกใช้ชื่อ รพ.หญิงหาเงิน
จาก “คังคุไบ” ถึง “ยายแฟง” แม่เล้าผู้ทรงอิทธิพล
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
——————————————
กระแสความนิยม “คังคุไบ” ภาพยนตร์ Gangubai Kathiawadi
หญิงแกร่งแห่งมุมไบ กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ โดยเฉพาะการพูดถึงมุมมองการเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมของอาชีพโสเภณีในอินเดียที่ควรได้รับเช่นเดียวกับคนทั่วไป ผ่านตัวละครอย่าง “คังคุไบ”
.
ชวนให้นึกถึง สตรีผู้ทรงอิทธิพลแห่งยุครัตนโกสินทร์อีกคนหนึ่งที่ไม่ได้เกิดมาในสังคมชั้นสูง แต่สามารถสร้างวัดให้คนกราบไหว้ และสร้างโรงพยาบาลให้กับโสเภณีเมื่อกว่า 100 ปีก่อน และสร้างคุณประโยชน์มาจนถึงทุกวันนี้
“ยายแฟง” เจ้าสำนักโสเภณีอันเลื่องชื่อแห่งย่านเยาวราช
.
ชื่อเสียง “โรงยายแฟง”
โด่งดังถึงขั้นมีคำกล่าวที่ว่า
“ยายฟักขายแกง
ยายแฟงขาย.....
ยายมีขายเหล้า”
นั่นอาจเป็นเพราะสำนักของยายแฟงนั้น ดูทันสมัยกว่าที่อื่นๆ ทั้งห้องหับของหญิงคณิกา ถูกตกแต่งให้งดงามราวกับห้องนอนของลูกสาวคหบดีเลยก็ว่าดี จนเป็นที่มาให้ชนชั้นสูงและเหล่าขุนนางนิยมมาใช้บริการที่นี่ และกลายเป็นจุดที่ทำให้ “ยายแฟง”
มีคอนเนคชั่นกว้างขวาง
เป็นที่รู้จักของผู้คนในเขตพระนคร และนับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นยุครุ่งเรืองของอาชีพหญิงบริการ
.
ในปี พ.ศ. 2376 ยายแฟง ออกทุนสร้างวัดร่วมกับหญิงคณิกาอีกจำนวนหนึ่ง
บริเวณตรอกวัดโคก (ถ.พลับพลาไชย)
ชื่อวัดใหม่ยายแฟง
ที่ต่อมาเปลี่ยนเป็น
“วัดคณิกาผล”
ที่หวังนำเงินจากธุรกิจสีเทาแปรเปลี่ยนการสร้างกุศลใหญ่ หากแต่การสร้างวัด” นั้น ไม่ต่างกับการวัดบารมีในสายตาของคนยุคก่อน ที่มีแต่คนชั้นสูงและเหล่าขุนนางเสียส่วนใหญ่ การที่แม่เล้าจากสำนักโสเภณีสร้างวัดขึ้นมา จึงถือว่าเป็นเรื่องฮือฮาอย่างมาก แถวบัานเรึยก
“วัดพลัง”
—————————————————————
“ยายแฟง - ขรัวโต -
รัชกาลที่4”
ภาพสะท้อนอิทธิพลของ “ยายแฟง” บทบาทแม่เล้าเจ้าของสำนักโสเภณีกับบทบาทในสังคมไทย เห็นจะเป็นตอนงานสมโภชน์วัด เมื่อยายแฟงสามารถนิมนต์ขรัวโต หรือ สมเด็จพระพุฒาจารย์
(โต พฺรหฺมรํสี) มาเทศน์ในวันฉลองวัด และยังสามารถนิมนต์ทูลกระหม่อมพระมาจากวัดบวรฯ(พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เมื่อครั้งทรงผนวช)
เพื่อหวังจะให้สรรเสริญคุณความดีของตน แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตร
.
เมื่อขรัวโตเทศน์ยายแฟงว่า “เจ้าภาพทำบุญจากเงินที่ได้จากดอกผลซึ่งมีพื้นฐานจากสิ่งที่ผิด ย่อมจะได้บุญเพียงสลึงเฟื้องของเศษบุญเท่านั้น”
.
ขณะที่ทูลกระหม่อมพระ (รัชกาลที่4) สำทับขรัวโตในเวลาต่อมายืนยันใน สิ่งที่ขรัวโตเทศนาไว้ แถมยังลดระดับบุญที่ได้รับจากสลึงเฟื้อง ลงมาเหลือแค่ 2 ไพ ทำเอายายแฟงเสียหน้าเอามากๆ แต่เหนือสิ่งอื่นใด นั่นคือหลักฐานการมีอยู่ของหญิงคณิกาในฐานะบุคคลมีหน้าตาของสังคมสมัยนั้น
———————————————————-
“การขึ้นทะเบียน-เก็บภาษี ยุคเฟื่องฟูโสเภณีไทย”
แม้การเก็บภาษีเกี่ยวกับเรื่องอบายมุขจะถูกยกเลิกไปในสมัยรัชกาลที่ 3 ด้วยเหตุเกี่ยวกับการธำรงค์พระศาสนา แต่ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 มีนโยบายเพิ่มรายได้ ด้วยการเพิ่มและปรับอัตรภาษีในหลายรายการ โดยเฉพาะเฉพาะภาษีฝิ่น และภาษีอาการพนัน ที่เกี่ยวกับการอบายมุขรวมอยู่ด้วย
ประกอบกับยุคนั้นกิจการโรงโสเภณีถือว่าเฟื่องฟูถึงขีดสุด และมีเกิดขึ้นแถบทุกตรอกถนน โดยมี “โรงยายแฟง” เป็นตัวขับเคลื่อน ทำให้รัฐบาลเห็นมูลค่ารายได้ ก่อนขึ้นทะเบียนหญิงโสเภณีอย่างถูกต้อง พร้อมจัดเก็บค่าธรรมเนียมดังใจความดังนี้
“หญิงนครโสเภณีต้องได้รับอนุญาตจากทางราชการ ค่าธรรมเนียมสำหรับใบอนุญาตราคา 12 บาท มีอายุ 3 เดือน” ว่ากันว่าในครั้งนี้สามารถจัดเก็บค่าธรรมเนียมโสเภณีได้ถึง 50,000 บาท มากกว่าภาษีหลายชนิด สามารถนำเงินเข้าคลังได้มากโข ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะมีการปรับรูปแบบการเก็บภาษีโสเภณี อยู่ในหมวด “ภาษีบำรุงถนน” ที่จะมีการเก็บภาษีจากโสเภณี เช่น ค่าน้ำมัน (ส่องสว่างในห้อง) และค่าน้ำ (อาบน้ำให้ผิวผ่อง) เดือนละ 1-2 บาท เป็นต้น ซึ่งถือว่าสูงมากในยุคนั้น แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาไม่กี่รัชสมัย แต่อย่างน้อยก็สะท้อนให้เห็นว่า อาชีพโสเภณีเป็นสิ่งที่คนเลี่ยงไม่ได้ และหากจัดการอย่างถูกต้อง ก็สามารถเป็นประโยชน์ในหลายมิติ ทั้งฝ่ายรัฐบาลและภาคประชาชนเองก็ตาม
——————————————————————
“โรงพยาบาลหญิงหาเงิน” มรดกสุดท้ายของยายแฟง
การขึ้นทะเบียนโสเภณีและเก็บภาษีอย่างถูกต้อง อาจเปรียบเสมือนพัฒนาการของอาชีพโสเภณีที่สังคมไทยเริ่มเปิดกว้าง แต่ความจริงแล้วหลักประกันสุขภาพของกลุ่มคณิกายังคงเป็นปัญหาไม่จบสิ้น ทั้งโรคเฉพาะทาง และการใช้สถานพยาบาลร่วมกับคนทั่วไปยังไม่เป็นที่ยอมรับ
“ยายแฟง”ในช่วงบั้นปลาย หญิงชราเห็นปัญหาและเข้าใจหัวอกของหญิงงามเมืองมาโดยตลอด จนกระทั่งตัดสินใจก่อตั้งโรงพยาบาลขึ้นในปี พ.ศ. 2440 ไว้สำหรับเป็นสวัสดิการรักษาคนกลุ่มนี้โดยเฉพาะ อยู่แถวถนนหลวง ไม่ไกลจากย่านสำเพ็งที่พวกเธอทำงานเท่าไหร่นัก “โรงพยาบาลหญิงหาเงิน” คือชื่อเรียกในยุคแรก ก่อนที่ในอีก 18 ปีต่อมา(พ.ศ. 2458) เริ่มมีประชาชนทั่วไปเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น จึงได้เป็นชื่อเป็น “โรงพยาบาลกลาง” ภายใต้การดูแลของกระทรวงสาธารณสุขในปัจจุบัน
——————————————————————
กาลเวลาเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้ง เมื่อมีการออกพระราชบัญญัติป้องกันสัญจรโรค รัตนโกสินทรศก 127 หรือ พ.ศ. 2451 จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 6 ทรงโปรดเกล้าฯให้ประกาศ พรบ.นี้กับหัวเมืองทุกมณฑลในราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2456 จนถึงยุคจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้นำออก พ.ร.บ.ปรามการค้าประเวณีมาบังคับใช้แทนใน พ.ศ. 2503 มาจนถึงปัจจุบัน
.
จากยุคเฟื่องฟู สู่ยุคหลบซ่อน หากจะพูดว่าอาชีพสีเทานี้หมดไปคงไม่ใช่ แต่การเริ่มกลับมาพูดคุยสิทธิและสวัสดิการเช่นเดียวกับธุรกิจและการค้าแรงงานประเภทอื่นเริ่มมีการพูดถึงอย่างหลากหลายอีกครั้ง อย่างน้อยสิ่งที่ยายแฟงเคยทำก็พิสูจน์มาแล้วว่า “ศักดิ์ศรีของทุกคนเท่ากัน” แม้จะผ่านมากว่าร้อยปีก็ตาม
อ้างอิงจาก: https://www.facebook.com/groups/1430536690609179
เรียบเรียงโดย : ธนภัทร ติรางกูล
ขอบคุณภาพ :จาก Netflix