เข้าใจ 'วิล สมิธ' ทราย เจริญปุระ เองก็เคยเจอกรณีถูกพิธีกรเล่นมุกล้อเลียนอาการป่วย
จากกรณีวิล สมิธที่ฉุนขาดเดินขึ้นไปตบหน้า คริส ร็อค กลางงานประกาศรางวัลออสการ์ หลังจากคริสผู้ทำหน้าที่พิธีกร ยกเรื่องภรรยาของวิลที่โกนผมโล้นเพราะป่วยเป็นโรคมะเร็งมาล้อเล่น วิลตะโกนต่อว่า “เอาชื่อภรรยาผมออกจากปากเน่าๆของแกซะ!”
ทราย เจริญปุระ ก็เป็นดาราสาวอีกคนที่เผชิญกับโรคซึมเศร้า แต่ที่แย่หนักกว่าคือประสบการณ์เคยถูกมองว่าโรคทางจิตเวชเป็นเรื่องน่าตลกขบขันจนกลายเป็นเรื่องตลกขบขันมากกว่าเรื่องน่าเห็นใจไปอีก ซึ่งทรายเคยได้เล่าเอาไว้ว่า
รวมถึงโพสต์อื่นๆ ที่เธอเพิ่มเติมไว้ด้วย
เรามองว่าวิลรุนแรง แต่คริสหยาบเกินไปมาก
คือมันเป็นสิ่งที่ถ้าคุณเจอกันต่อหน้า คุณก็ไม่เล่นไง นี่คุณกล้าเล่นเพราะเป็นเวทีใหญ่ ดาราใหญ่ คิดว่าไม่มีใครจะตอบโต้แรงๆได้ คิดว่ามีภูมิคุ้มกันในความเป็นตลกบนเวทีระดับโลกอะ
มันไม่ใช่ว่าผัวออกรับแทนเมียหรอก แบบ-ด่าเมียที่เคารพคบไม่ได้-อะไรงี้นะ
เอาจริงๆหลายทีก็งง ว่าทำไมผู้ชายบางคนบางกลุ่ม ให้เพื่อนล้อเมียแรงๆหรือล้อซะเองได้หน้าตาเฉย นั่นคู่ชีวิตคุณนะ ไม่สะเทือนกันเหรอ เพื่อนกันก็ไม่ต้องตลกทุกมุกก็ได้ นึกถึงหน้าเมียมั้ยอะ ว่าเค้าจะเจื่อนที่โดนวิจารณ์เรื่องหน้าตาหรือหุ่นอะ
อย่าคิดว่าทำตลกแล้วจะรอดไปได้ คนไม่ได้ขำด้วยเด้อ
ที่มีการบูลลี่ได้ก็เพราะมีการยอม และเหตุผลส่วนใหญ่ที่ยอมก็เพราะต้องการหลีกเลี่ยงปัญหาความขัดแย้งและการแก้ปัญหาด้วยความรุนแรง ถึงต้องหาทางแก้ไขการบูลลี่ด้วยการไม่ยอมโดยที่ไม่ต้องพึ่งพาความรุนแรง เป็นโจทย์ที่ยาก แต่ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
ถามว่าเป็นเรา (ในฐานะที่โดนบุลลี่ โดนด่าจนฟ้องร้อง โดนล้อเรื่องซึมเศร้า)อยากเดินไปฟาดคนพูดมั้ย อยากสิ แต่เราไม่ได้ทำ
แต่ถามว่าเข้าใจความรู้สึกคนโดนพูดใส่มั้ย ทั้งในฐานะบุคคลและในอาชีพที่คนรู้จัก โคตรเข้าใจเลย
แต่ยังไงก็ควรมีแอคชั่นทางคดีความนะ นี่พูดจริง มันจะได้สร้างเส้นทั้งฝ่ายพูดและฝ่ายทำ
ถึงเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับเรื่องป่วยไข้มันสะเทือนใจคนที่ป่วยนะ เพราะไม่มีใครทั้งนั้นที่อยากจะป่วยเลย