โอเมก้า3,6..กับสุขภาพ
โอเมก้า3 โอเมก้า6..กับสุขภาพ
กรดไขมันโอเมก้า3 เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน มีความจำเป็นต่อการทำงานของสมองและร่างกาย แต่ร่างกายสร้างขึ้นมาเองไม่ได้ ซึ่งประโยชน์ของกรดไขมันโอเมก้า3 อย่างที่รู้ๆ กัน จะบำรุงประสาท และสมอง สายตา ภูมิคุ้มกันโรค ไปจนถึงบำรุงผิวพรรณให้สวยสดใส คนจึงนิยมทานอาหารที่อุดมไปด้วยโอเมก้า 3 เช่น ปลาต่างๆ และถึงขั้นทานวิตามินเป็นเม็ดๆ
กรดไขมันโอเมก้า3 จะลดการอักเสบ เลือดเหลวตัวลงทำให้ระบบการไหลเวียนเลือดดีขึ้น ช่วยให้เลือดไหลเวียนสะดวกขึ้นการเกิดลิ่มน้อยลง
-ข้อดี จะไม่เกิดการอุดตันตามหลอดเลือด
-ข้อเสีย ถ้าร่างกายมีกรดไขมันโอเมก้า3 เยอะเกิน หากเกิดเลือดออกเลือดจะไหลไม่หยุด
กรดโอเมก้า 3 มีความสำคัญมากต่อสุขภาพของมนุษย์ เรียกว่าสำคัญมากที่สุดในโอเมก้าทั้ง 3 ชนิด เหตุผลหลักเลยก็คือ โอเมก้า 3 มีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบ ที่เป็นสาเหตุของโรคเสื่อมต่างๆ กรดไขมันโอเมก้า 3 สามารถแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ
1. กรดไขมัน แอลฟา - ไลโนเลนิก (Alpha-Linolenic acid: ALA) เป็นกรดไขมันเริ่มต้นที่พบได้ในน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ น้ำมันคาโนลา ถั่วเหลือง น้ำมันวอลนัท ที่ร่างกายสามารถเปลี่ยนรูปนำไปสังเคราะห์ให้เกิด EPA และ DHA ต่อไป
2. กรดไขมัน ดีเอชเอ (Docosahexaenoic acid: DHA) เป็นกรดไขมันที่มีความสำคัญในการพัฒนา และทำหน้าที่ของระบบประสาท และระบบสมอง เพราะเป็นส่วนประกอบของเซลล์สมองถึง 65% แถมยังเป็นส่วนประกอบหลักของเซลล์จอประสาทตา เด็กที่ได้รับ DHA อย่างเพียงพอจะส่งผลให้สมองถูกพัฒนาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ มีพัฒนาการด้านความจำระยะสั้น ส่งเสริมให้เด็กมีสมาธิจดจ่อกับการเรียนรู้ได้ดีขึ้น ในทางกลับกันหากเด็ก ๆ ได้รับ DHA ไม่เพียงพอจะส่งผลต่อระบบการมองเห็น อาจทำให้เขามีอาหารสมาธิสั้นได้
3. กรดไขมัน อีพีเอ (Eicosapentaenoic acid: EPA) ที่ช่วยลดการอักเสบต่าง ๆ ของร่างกาย และช่วยลดความเครียด
ภาพประกอบ ปลาทู
อาหารที่อุดมโอเมก้า3
-ปลาและอาหารทะเล ปลาและหอยคือแหล่งรวมวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น ไอโอดีน แคลเซียม และเซเลเนียม รวมทั้งมีโอเมก้า 3 อยู่มาก โดยปลาและอาหารทะเลที่อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 มักเป็นปลาที่มีกรดไขมันจำพวกปลาน้ำเย็น เช่น แซลมอน แมคเคอเรล ทูน่า และซาร์ดีน ส่วนปลาหรืออาหารทะเลที่นำมาแปรรูปเป็นอาหารกระป๋องบางยี่ห้ออาจไม่เหลือสารอาหารดังกล่าว
ภาพประกอบ เมล็ดเจีย
-ถั่วและเมล็ดพืช เช่น เมล็ดเจีย เมล็ดแฟลกซ์ วอลนัท หรือเมล็ดฟักทอง
-น้ำมันพืช เช่น น้ำมันถั่วเหลือง หรือน้ำมันคาโนล่า โดยสามารถนำน้ำมันพืชเหล่านี้มาปรุงอาหารได้
ภาพประกอบ น้ำนมถั่วเหลือง
-อาหารปรุงแต่งที่ใส่โอเมก้า 3 มีหลายอย่าง เช่น ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่วเหลือง โยเกิร์ต น้ำผลไม้ นม น้ำนมถั่วเหลือง หรืออาหารทารกบางอย่าง
ภาพประกอบ น้ำมันดอกทานตะวัน
กรดไขมันโอเมก้า6 มีประโยชน์ และมีความสำคัญต่อร่างกายไม่แพ้โอเมก้า 3 เหมือนกัน โอเมก้า6 คือ กรดไขมันแบบไม่อิ่มตัวอย่างกรดลิโนเลอิก และกรดอะราคิโดนิก ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ ต้องรับประทานเข้าไปเหมือนกันกับโอเมก้า 3
กรดไขมันโอเมก้า6 ความสำคัญของโอเมก้า 6 คือ เป็นตัวรักษาสมดุลของโอเมก้า 3 คือหากรับประทานโอเมก้า 3 เข้าไป ก็ต้องรับประทานโอเมก้า 6 เพื่อให้ช่วยรักษาสมดุลในร่างกายด้วย เช่น คุณสมบัติของโอเมก้า 3 คือช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น แต่หากทานมากไปจะมีปัญหาเมื่อต้องผ่าตัด ถอนฟัน ดังนั้นควรทานโอเมก้า 6 ควบคู่ไปด้วย เพราะจะช่วยให้เลือดแข็งตัวได้ดีขึ้น เพื่อป้องกันปัญหาเลือดหยุดช้าหลังผ่าตัด ถอนฟันนั่นเอง
-ข้อดี เกิดการอักเสบง่าย หรือลิ่มเลือดเกิดขึ้นง่าย เวลาเกิดบาดแผล แผลจะหยุด แห้งเร็ว เลือดออกจะหยุดเร็ว
-ข้อเสีย ทำให้เกิดการอักเสบมาก ทำให้เกิดอนุมูลอิสระมาก ทำให้เกิดลิ่มเลือดง่าย โอเมก้า 6 จะไปเร่งกระบวนการอักเสบ ถ้าอัตราส่วนของกรดไขมันโอเมก้า3 และกรดไขมันโอเมก้า6 นี้ไม่สมดุลก็อาจเป็นสาเหตุนำไปสู่โรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน หรืออัลไซเมอร์ เป็นต้น
ภาพประกอบ สลัดผัก
โอเมก้า 6 พบมากในอาหาร จำพวกน้ำมันพืช เช่นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันคาโนล่า และน้ำมันข้าวโพด แต่ไม่พบมากในน้ำมันมะกอก (น้ำมันมะกอก ซึ่งเหมาะสำหรับทานสด ผสมในสลัด หรือผ่านความร้อนน้อยๆ เช่นผัดเท่านั้น) ซึ่งการที่พบโอเมก้า 6 ได้มากในอาหารนี้เองทำเกิดความไม่สมดุลขึ้นระหว่างอัตราส่วนของโอเมก้า 6 และโอเมก้า 3
ประโยชน์ของ โอเมก้า 6
1. ช่วยลดคลอเลสเตอรอลในร่างกาย ลดไขมันอุดตันเส้นเลือด ส่งผลดีต่อหลอดเลือด และหัวใจ
2. ช่วยลดอาการอักเสบ และอาการปวดต่างๆ ตามร่างกาย
3.รักษาความชุ่มชื้นให้กับผิว ลดปัญหาผิวแห้ง แตก กร้าน ลอกเป็นขุย รวมไปถึงรังแคบนหนังศีรษะ ผมร่วง หรือโรคผิวหนังบางชนิดอีกด้วย
4. ต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย และลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง
5. ลดอาการแทรกซ้อนต่างๆ ของผู้ป่วยเบาหวาน เช่น อาการชาตามปลายนิ้วมือ นิ้วเท้า
6. ควบคุมระดับฮอร์โมนในร่างกายให้เป็นปกติ
อ้างอิงจาก: https://www.youtube.com/watch?v=0IYr_5OMRtA
https://www.sanook.com/health/3257/
https://www.cbinterlab.com/17064694/omega-3-6-9-คืออะไร
https://www.nestle.co.th/th/nhw/kids/parents/portion/brain-nourishing-food
https://pantip.com/topic/40141776
ภาพโดย Jan Haerer จาก Pixabay
ภาพโดย photosforyou จาก Pixabay
ภาพโดย ally j จาก Pixabay
ภาพโดย bigfatcat จาก Pixabay
ภาพโดย Bernadette Wurzinger จาก Pixabay