รัสเซียมีกองกำลังนิวเคลียร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก หันตภัยความร้ายแรง จะมีมากแค่ไหน หากเกิดสงคราม
ยูเครน เป็นประเทศหนึ่งในยุโรปตะวันออก เป็นประเทศที่มีเนื้อที่มากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ในยุโรปรองจากรัสเซียซึ่งยูเครนมีอาณาเขตติดต่อทางทิศตะวันออกและทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ผ่านสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงแรกของสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวยูเครนให้การสนับสนุนกองทัพนาซีเยอรมันเพื่อเป็นอิสระจากสหภาพโซเวียต และผ่านช่วงสงครามเย้มมาแล้ว
จนในที่สุด ได้มีการประกาศเอกราชจากสหภาพโซเวียต ในปี ค.ศ. 1991
มามองที่รัสเซีย หลังจากวลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดี สั่งการให้กองกำลังนิวเคลียร์ของประเทศเข้าสู่โหมดเฝ้าระวังสูงสุด ส่งผลให้เกิดความกังวลว่า รัสเซียกำลังเตรียมความพร้อมที่จะนำกองกำลังนิวเคลียร์ของประเทศ ซึ่งเป็นกองกำลังนิวเคลียร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกออกมาใช้
ซึ่งทางสถาบันวิจัยสันติภาพ SIPRI ในกรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ระบุว่า รัสเซียมีหัวรบนิวเคลียร์ 6,255 หัวรบ ขณะที่สหรัฐอเมริกามีอยู่ 5,550 หัวรบ ตามมาด้วยจีนที่มี 350 หัวรบ ขณะที่ฝรั่งเศสมี 290 หัวรบ โดยที่รัสเซียใช้งบประมาณ 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อสร้างและดูแลรักษาอาวุธนิวเคลียร์เมื่อปี 2020
และหลักง่ายๆ ในการใช้อาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซีย ปูติน ออกระเบียบการใช้อาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซียเมื่อปี 2020 โดยมีความชอบธรรมในการใช้อาวุธนิวเคลียร์อยู่ 4 สถานการณ์คือ
1.รัสเซียหรือพันธมิตรถูกโจมตีด้วยขีปนาวุธ
2.ศัตรูใช้อาวุธนิวเคลียร์
3.ฐานอาวุธนิวเคลียร์ถูกโจมตี
4. การโจมตีใดๆ ก็ตามที่เป็นภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของรัสเซีย
ข้อ 1. กับ ข้อ 4 น่าเกิดก่อน หากเป็นแบบนั้น มหันตภัยกัมมันตภาพรังสี จะมีมากแค่ไหน
ด้านเพจ อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ โพสต์ส่วนหนึ่งไว้ว่า ถ้าเกิดสงครามนิวเคลียร์ขึ้นจริง คนส่วนใหญ่ในโลกนี้ รวมถึงคนไทยเรา คงไม่รอดชีวิตแน่ๆ แต่ถ้าใช้เพียงจำนวนน้อย หรือเกิดการรั่วไหลจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ถูกทำลาย ก็ยังพอที่ประเทศไทยเราจะยังเอาชีวิตรอดกันได้ อาจจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากแรงระเบิด แต่น่าจะได้รับผลกระทบทางอ้อม
โดยฝุ่นที่ปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีจากการระเบิดนั้นสามารถแผ่กระจายไปตามกระแสลมได้เป็นบริเวณกว้าง และสามารถทำให้พืชพรรณธัญญาหารและแหล่งน้ำตามธรรมชาติ ปนเปื้อนและเป็นพิษต่อผู้ที่บริโภคเข้าไป นำไปสู่อาการต่างๆ ขึ้นกับปริมาณของสารรังสีที่ได้รับไป ตั้งแต่การระคายเคือง อ่อนเพลีย อาเจียน ท้องเสีย ผมร่วง เม็ดโลหิตขาวลดลง เสี่ยงเป็นโรคมะเร็ง และเสียชีวิตได้ถ้าได้รับเข้าไปมากๆ
โรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ฟุกุชิมา
ลองถอดบทเรียนจากตอนที่เกิดการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสี จากการระเบิดของเตาปฏิกรณ์ ของโรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ฟุกุชิมา ประเทศญี่ปุ่น มาดูเป็นแนวทางนะครับ
-ภัยของสารกัมมันตรังสีนั้น ขึ้นอยู่กับว่า เราอยู่ใกล้ตัวจุดที่เกิดการระเบิดนั้นแค่ไหน ถ้าอยู่เกินรัศมี 30 กิโลเมตร ก็ไม่ต้องกลัวมากจนเกินไป / ถ้าอยู่ในรัศมี 30 กม. อาจได้รับพิษกัมมันตรังสีเข้มข้นแบบเฉียบพลัน มีอัตราเสียชีวิตประมาณ 50% (ที่รอดตาย ก็จะเป็นโรคมะเร็งได้) / ห่างออกไปจากรัศมี 30 กม. จากการระเบิด กัมมันตภาพรังสีจะลดลงไปตามระยะทางที่ห่างออกไป แต่ก็ยังมีพิษแบบเรื้อรัง
- ถ้าอยู่ใกล้กับการระเบิด เราอาจเสียชีวิตจากความร้อน เปลวไฟ และแรงระเบิด ที่ทำลายผิวหนัง เนื้อเยื่อ และอวัยวะภายในได้ / รังสีขนาด 3-4 เกรย์ อาจทำให้ผิวหนังอักเสบ 2-3 สัปดาห์ / รังสีขนาด 100 เกรย์ ทำให้ผิวหนังเน่าเป็นตุ่มนํ้าใน 1-2 สัปดาห์ / หากได้รับรังสีขนาดมากกว่า 30 เกรย์ทั้งร่างกาย อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต จากภาวะหัวใจล้มเหลวและระบบประสาทส่วนกลางถูกทำลาย ภายใน 24-72 ชั่วโมง
- นอกจากจะได้รับรังสีขนาดสูง จนอาจเกิดอาการเป็นพิษเฉียบพลัน (acute radiation syndrome) แล้ว ยังอาจจะมีอาการแบบเรื้อรัง ค่อยเป็นค่อยไป เพราะได้รับรังสีในปริมาณไม่มาก แต่สามารถทำลายดีเอ็นเอ ทำให้เกิดจากกลายพันธุ์ของยีนและนำไปสู่โรคมะเร็ง
- สารกัมมันตรังสีหลายชนิด อาจจะปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม อาหาร อากาศ และนํ้าในบริเวณใกล้เคียง ที่พบบ่อยคือสารกัมมันตรังสีของ ไอโอดีน และซีเซียม โดยเฉพาะซีเซียม 137 มีค่าครึ่งอายุมากกว่า 30 ปี
- ถ้าเกิดสัมผัสสารกัมมันตรังสี ต้องล้างการปนเปื้อนร่างกาย ถอดเสื้อผ้าและเครื่องแต่งตัวทั้งหมด ใส่ในถุงที่ปลอดภัยปิดสนิท เพื่อการทำลายอย่างถูกต้อง อาบน้ำชำระล้างร่างกายทั้งหมดให้สะอาดด้วยน้ำเย็นและสบู่อ่อน ถ้ามีบาดแผลต้องชำระล้างให้สะอาด และปิดบาดแผลป้องกันไม่ให้สัมผัสกับสารรังสีอีก
- ถ้าสูดอากาศ หรือรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนสารรังสี ให้ลดการดูดซึมของสารรังสีโดยการแทนที่ด้วยสารอื่นที่ปลอดภัยกว่า เช่น ถ้าได้รับไอโอดีน-125 หรือ 131 อาจใช้ "ยา SSKI หรือโปแตสเซียมไอโอไดด์" ยับยั้งไม่ให้ต่อมไทรอยด์จับกับไอโอดีนรังสี (ปรกติแล้ว จะต้องกินก่อนที่จะได้รับรังสีเท่านั้น ถึงจะได้ผล)
- แต่โปแตสเซียมไอโอไดด์ จะป้องกันสารกัมมันตรังสีได้แต่ชนิดไอโอดีนเท่านั้น ป้องกันสารกัมมันตรังสีชนิดอื่น อย่างเช่น ซีเซียม-137, ซีเซียม-134 ฯลฯ ไม่ได้ (และห้ามหาซื้อยามากินเองด้วย เพราะมีความเข้มข้นของไอโอดีนสูงมาก ถ้าเกิดแพ้ขึ้นมา จะมีผลต่อหัวใจและถึงตายได้)
- การนำ "เบตาดีน" มาทาคอหรือผิวหนังเพื่อป้องกันรังสีนั้น เป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง ไม่มีประโยชน์ ไม่ต้องทำ
- ถ้ามีอาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร อาจต้องให้น้ำเกลือทดแทน และให้ยาแก้อาเจียน / ถ้าเป็นแผลในกระเพาะอาหาร ต้องให้ยาลดกรด หรืองดอาหารทางปากชั่วคราว / ถ้าเป็นมาก ต้องเฝ้าระวังภาวะเม็ดเลือดต่ำจากรังสี / ถ้าเม็ดเลือดขาวต่ำ จะติดเชื้อง่าย อาจฉีดยากระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาว / ถ้าโลหิตจาง ต้องบำบัดอาการและพิจารณาให้ยาเพิ่มการสร้างเม็ดเลือดแดง หรืออาจต้องให้เลือด
- การบำบัดรักษาพิษจากรังสีนั้น จริงๆ แล้ว ได้ผลไม่ดีนัก การหลีกเลี่ยงสัมผัสกับสารกัมมันตรังสีจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันภัยจากกัมมันตภาพรังสี
- ใช้เครื่องมือตรวจสารกัมมันตรังสี เช่น ตรวจด้วยเครื่องไกเกอร์เคาน์เตอร์ ซึ่งเป็นกล่องมีเข็มวัด และมีกระบอกจี้ไปใกล้บริเวณที่สงสัยเพื่อตรวจสอบ / หรืออาจใช้แผ่นฟิล์มตรวจอย่างง่ายๆ ถ้ามีรังสี ฟิล์มจะเปลี่ยนเป็นสีดำ / รวมไปถึงการใช้เครื่องมือที่เปลี่ยนสี หรือเรืองแสง เวลามีรังสี
สำหรับไทย ยังห่างอยู่มาก กว่า 8,000 กม. ทางอากาศ และเราผ่านมาหลายยุคสมัย ของสงคราม ผ่านมาได้ด้วยดี อีกทั้งในประวัติศาสตร์มีอาวุธนิวเคลียร์เพียงสองชิ้นเท่านั้นที่เคยใช้ตลอดห้วงการสงคราม ทั้งสองครั้งโดยสหรัฐอเมริกายามสงครามโลกครั้งที่สองใกล้ยุติ
-วันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2488 วัตถุประเภทจุดระเบิดยูเรเนียม (uranium gun-type) ชื่อรหัสว่า "ลิตเติลบอย" ถูกจุดระเบิดเหนือนครฮิโรชิมาของญี่ปุ่น อีกสามวันให้หลัง
-วันที่ 9 สิงหาคม วัตถุประเภทจุดระเบิดภายในพลูโตเนียม (plutonium implosion-type) ชื่อรหัสว่า "แฟตแมน" ระเบิดเหนือนางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น การทิ้งระเบิดทั้งสองลูกส่งผลให้ชาวญี่ปุ่นเสียชีวิตไปประมาณ 200,000 ศพ ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน จากการบาดเจ็บฉับพลันที่ได้รับจากการระเบิด
เมฆรูปเห็ดสูง 18 กิโลเมตร ที่เกิดจากอาวุธนิวเคลียร์ ที่ถล่มเมืองฮิโรชิมาและนางาซากิของญี่ปุ่น เมื่อปี พ.ศ. 2488 ปลายสงครามโลกครั้งที่สอง
อาวุธเทอร์โมนิวเคลียร์สมัยใหม่ที่หนักกว่า 1,100 กิโลกรัมเล็กน้อย สามารถก่อให้เกิดแรงระเบิดเทียบเท่ากับการจุดระเบิดทีเอ็นทีมากกว่า 1.2 ล้านตัน ดังนั้น กระทั่งวัตถุนิวเคลียร์ลูกเล็ก ๆ ที่ขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าระเบิดธรรมดา สามารถทำลายล้างนครทั้งนครได้ ด้วยแรงระเบิดไฟและกัมมันตรังสี อาวุธนิวเคลียร์ถูกพิจารณาว่าเป็นอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูง และการใช้และควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ได้กลายเป็นจุดสนใจสำคัญของนโยบายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนับแต่ถือกำเนิดขึ้น