"Escrave Anastacia" ทาสสาวผู้งดงาม ที่ถูกบังคับให้สวมหน้ากากและปลอกคอเหล็กไปตลอดชีวิต
เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่ง ที่ทาสหญิงผิวดำที่มีความรักให้กับเพื่อนมนุษย์นั้น "ความงาม" ของเธอกลับทำให้เธอต้องพบเจอกับชะตากรรมที่น่าสงสารยิ่งนัก จากการถูกนายจ้างบังคับให้ใส่หน้ากากปิดปาก และปลอกคอจนเสียชีวิตในที่สุด
ประวัติของเธอมาจากไหน ?
เธอมีชื่อว่า "เอสคราวา อนาสตาเซีย" (Escrava Anastacia) เธอเกิดเมื่อวันที่ 5 มีนาคม ประมาณครึ่งแรกของศตวรรษที่ 19 มีแม่ชื่อ "เดลมินดา" (Delminda) แม่ของเธอเป็นผู้หญิงผิวดำจากเผ่า "Bantu" เชื่อกันว่าแม่ของเธอมาจาก "ราชวงศ์กาลังกา" (Galanga) กำเนิดประมาณ 2,000 ปีก่อนคริสตศักราชในไนจีเรียตอนใต้และแคเมอรูน ถูกนำมาที่บราซิลในปี 1740 พร้อมบรรทุกทาส 112 คน ซึ่งทุกคนถูกขายในเรือทาสไปยังเมืองริโอ ประเทศบราซิล
Escrava Anastacia เอสคราวา อนาสตาเซีย (ชื่อนี้แปลคร่าวๆว่า "อนาสตาเซียผู้เป็นทาส" โดย Jacques Etienne Victor Arago c. พ.ศ. 2382
เธอเป็นผู้หญิงแอฟริกันที่ถูกกดขี่ ซึ่งมาอาศัยอยู่ในบราซิลในศตวรรษที่ 19 ในฐานะที่เป็นทาสสาวผิวดำที่มีความงามอันน่าทึ่ง และเธอได้รับความนิยมในฐานะนักบุญผู้เสียสละในตำนานพื้นบ้านและวัฒนธรรมของริโอ เดจาเนโร
และถึงแม้ว่าคริสตจักรคาทอลิกจะไม่รู้จักเธออย่างเป็นทางการว่าเป็นนักบุญ แต่เธอก็ได้รับความศรัทธาและถือเป็นนักบุญผู้พิทักษ์ของลูกหลานชาวทาสและคนยากจนในบราซิล
ซึ่ง "Hippolyte Leon Denizard Rivail (Allan Kardec)" ผู้ก่อตั้งศาสนา Spiritist ศาสนา Umbanda ซึ่งมีรากฐานมาจากศาสนา ได้เรียกร้องขอให้ทางนิกายโรมันคาทอริกเคารพอนาสตาเซียในฐานะนักบุญด้วย
ภาพเหมือนจาก L'Illustration 10 เมษายน 2412 (Wikimedia Commons)
เรื่องราวในชีวิตของเธอ โดยนักประวัติศาสตร์บางคนอ้างว่าเธอมีน่าจะเชื้อสายบราซิล ในขณะที่คนอื่นๆยืนยันว่าเธอมีเชื้อสายแอฟริกัน แต่อย่างไรก็ตามเธอก็ถือเป็นหนึ่งในสตรีที่สำคัญที่สุดในทางมรดกวัฒนธรรมของริโอ เดจาเนโร
เธอเกิดมาจากการที่แม่เธอถูกข่มขืน
"เดลมินดา" แม่ของเธอนั้นถูกข่มขืนโดยเจ้านายซึ่งเป็นคนผิวขาว และแม่ของเธอก็ถูกขายให้กับ "Joaquina Pompeu" ขณะที่ตั้งครรภ์และเมื่อเธอคลอดออกมา เธอจึงหนึ่งในทาสหญิงผิวดำคนแรกที่เกิดมาพร้อมกับ "ดวงตาสีฟ้าที่สวยสดใส"
ความงามที่โดดเด่นก็ย่อมเป็นที่อิจฉาริษยา
เธอเติบโตขึ้นมาอย่างสวยงามอย่างไม่น่าเชื่อ โดยทุกคนในไร่ต้องตะลึงเมื่อเห็นเด็กสาวผิวดำหน้าตาดีที่มีดวงตาสีฟ้า และความงามที่เย้ายวนใจของเธอก็ทำให้เกิดความอิจฉาริษยาจากผู้หญิงคนอื่นๆ ผู้หญิงเหล่านี้เห็นเธอเป็นคู่แข่ง จึงแอบเกลี้ยกล่อมให้ "Joaquin Antonio" ลูกชายเจ้าของกิจการที่หลงใหลในตัวเธอ ได้ข่มขืนเธอและบังคับให้เธอสวมหน้ากากทาสปิดปากเธอบนใบหน้าทำให้เธอไม่สามารถพูดได้ โดยจะถอดออกได้ต่อเมื่อทานอาหารเท่านั้น พร้อมกับสวมปลอกคอเหล็กที่คอเธอไปตลอดชีวิต
ความอดทนที่สงบ เปี่ยมด้วยความเมตตาและความรัก
แม้เธอจะต้องอดทนต่อหน้ากากทาสในตลอดชีวิตของเธอที่เหลือ แต่เธอกลับปฎิบัติต่อทุกๆคนด้วยท่าทีที่สงบ เปี่ยมด้วยความเมตตา และความรัก มันจึงกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการพลีชีพของเธอในเวลาต่อมานั่นเอง
และมีเหตุผลหลายประการที่เธอถูกลงโทษแบบไร้มนุษยธรรม
1. กล่าวว่าเธอถูกเจ้านายปฎิบัติต่อเธอย่างโหดร้าย และข่มขืนเธอโดยเธอไม่ยินยอม
2. หรือเกิดจากความหึงหวงของผู้หญิงผิวขาวที่มีต่อความงามของเธอ
3. หรือการช่วยเหลือจากทาสคนอื่นๆให้หลบหนีจากการขโมยน้ำตาล
จุดจบวาระชีวิตสุดท้ายของเธอ
หลังจากผ่านไปหลายปีแห่งความทุกข์ทรมานและความโหดร้าย เธอก็เสียชีวิตด้วย "โรคบาดทะยัก" ที่เกิดจากปลอกคอเหล็กที่สวมใส่มาเป็นเวลานาน และบางตำนานเล่ากันว่าเธอมีพลังวิเศษในการรักษาโรค ซึ่งก่อนที่เธอจะเสียชีวิตเธอได้รักษาลูกชายของเจ้านายที่ป่วยหนักให้หายและเธอก็ให้ "อภัย" พวกเขา สำหรับสิ่งที่พวกเขาได้กระทำกับเธออย่างโหดร้ายมาตลอดทั้งชีวิต
และเมื่อเธอเสียชีวิตเจ้าของจึงสละสถานะทาสของเธอ และก็ฝังเธอใน "สุสานริโอ" และซากศพของเธอถูกเก็บไว้ใน "โบสถ์โรซาริโอ" แต่ทว่าน่าเสียดายซากศพของเธอได้สูญหายไปจากเหตุไฟไหม้ โดยอนุสาวรีย์ของอนาสตาเซียตั้งอยู่ใน "Cemiterio da Soledade" ในเมืองเบเลง เมืองปารา ทางตอนเหนือของบราซิล
เกียรติยศหลังความตาย
หลังเธอเสียชีวิตเรื่องราวของเธอและการดิ้นรนของเธอเริ่มแพร่ขยายออกไป ทาสจำนวนมากเริ่มมองว่าเธอเป็นตัวแทนของการต่อสู้ดิ้นรนและความยากลำบากมากมายของพวกเขา เมื่อวันเวลาผ่านไปเธอจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้
แม้จะไม่ใช่ "นักบุญ" อย่างเป็นทางการ แต่เธอก็มีผู้คนติดตามเป็นจำนวนมาก และมองเธอเป็นนักบุญหลายคนยังคงสวดอ้อนวอนให้เธอ และเชื่อในพลังแห่งการรักษาของเธอ เธอจึงได้รับการยกย่องว่าเป็น "สตรีผู้มีอิทธิพลต่อคนผิวดำ" ในมรดกทางวัฒนธรรมของริโอ เดจาเนโร
ขอบคุณภาพเนื้อหาต่างๆจาก : กูลเกิล, วิกิพีเดียร์
https://www.thevintagenews.com/2017/03/14/the-legend-of-the-martyred-st-escrava-anastacia-the-beautiful-slave-girl-who-was-forced-to-wear-a-face-mask/
https://face2faceafrica.com/article/for-her-beauty-anastacia-escrava-was-forced-to-wear-an-iron-muzzle-all-her-life-in-brazil
https://historyofyesterday.com/the-resilient-slave-girl-who-was-forced-to-wear-an-iron-mask-9ceeccf4b70