วัฒนธรรมดีๆตั้งแต่ ร.6 ในโรงหนังกำลังหายไป..วันนี้
หลังจาก covid ระบาดหนักหน่วงลายสถานที่ก็ได้ปิดทำการ และหลังจาก เปิดทำการยางห้างสรรพสินค้าโรงหนังผู้คนก็เริ่มหลั่งไหลกันไปชมภาพยนตร์อย่างถ้ามีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ก็จะมีคนเข้าไปดู
ตอนแรกผมก็คิดไม่คิดว่า คนจะเข้าไปดูเยอะขนาดนี้ ซึ่งที่นั่งเต็มทั้งโรง
ถึงเรื่องที่ผมดูเขาเป็นหนังของ Marvel เป็นหนังเกี่ยวกับซุปเปอร์ฮีโร่ ซึ่งแฟนมาเวลก็จะเป็นกลุ่มชนรุ่นใหม่
ซึ่งตามประเพณีของโรงหนัง เขาจะเปิดเพลงสรรเสริญพระบารมี ก่อนจะเริ่มฉายหนัง
ที่น่าแปลกใจก็คือ มีคนยืน ตอนเปิดเพลงสรรเสริญประมาณไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ของคนที่ดูภาพยนตร์
ซึ่งผมก็เป็นคนหนึ่งที่ยึดแล้วผมแอบหันมองไปข้างหลังซึ่งมีคนนั่งเกือบทั้งหมด และมีบางคนมองแบบเหยียดมาตามคนที่ยืน
จึงกลายเป็นเหมือนชนกลุ่มน้อย ที่ไม่เข้าใจวัฒนธรรมตามยุคสมัยเสียแล้ว
แต่ความรู้สึกผมนั้น รู้สึกภูมิใจที่ได้ยืนและรู้สึกเหมือน เป็นผู้ที่น่ายกย่อง เพราะเวลาที่ เขาจะกล่าวชื่นชมใครคนนั้นก็ต้องยืนเพื่อเป็นจุดเด่น คราวนี้เวลายืนในเพลงสรรเสริญก็เหมือนเป็นจุดเด่นนั่นเอง
แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรคนที่ไม่ยืนหรอก เพราะเป็นความคิดส่วนตัว และจุดยืนของตัวเองนั่นเอง
การที่ผมเอามาบอกเล่า ก็เป็นความสงสัยอย่างหนึ่งว่ายุคนี้เขาไม่ยืนกันแล้วหรือเพราะนานแล้วที่ผมไม่ได้เข้าโรงหนังนั่นเอง
การยืนเคารพเพลงสรรเสริญประวัติว่า
เมื่อสมัยที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในหลวงรัชกาลที่ 6 ทรงครองราชย์อยู่ ในยุคนั้นซึ่งตรงกับเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 1 แน่นอนว่าเทคโนโลยีและการสื่อสารย่อมไม่ได้ดีและรวดเร็วเท่าในทุกวันนี้ สิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้การกระจายข่าวสารเป็นไปได้อย่างรวดเร็วมากที่สุดก็คือ ‘ภาพยนตร์’ ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าวิทยุและโทรทัศน์มาก เพราะระบบเสียงและระบบสัญญาณไม่ได้เสถียรเท่าทุกวันนี้ เมื่อมีข่าวสารจะแจ้งให้ทราบ ก็จะให้คนมาที่โรงภาพยนตร์เพื่อรับชมข่าวสารนั้น ซึ่งในยุคนั้นคนจะเรียกสิ่งนี้ว่า ‘หนังข่าว’
โดยในตอนนั้นการฉายหนังข่าวและภาพยนตร์เพื่อความบันเทิงในประเทศไทย จะมีการฉายบนผืนผ้าใบสีขาว โดยผู้ที่มีสิทธิ์เผยแพร่หรือประกาศข่าวสารใดๆ จะต้องมาจาก ‘หน่วยงานราชการ’ เท่านั้น ซึ่งขึ้นตรงกับพระมหากษัตริย์แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งพระองค์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในการสื่อสารข่าวสารต่างๆ
นั่นจึงเป็นเหตุที่ว่า ทำไมราษฎรในยุคนั้นจึงต้องยืนถวายความเคารพพระมหากษัตริย์ด้วยหลังรับชมหนังข่าวเสร็จ และด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องมีพิธีทางราชการประกอบอยู่ด้วยในการมารับชมภาพยนตร์แต่ถึงกระนั้นในปัจจุบันนี้หลายคนอาจจะคิดสงสัยต่อว่า
โรงภาพยนตร์ก็ไม่ได้มีการฉายหนังข่าวเพื่อประกาศข่าวสารแบบแต่ก่อนแล้ว มีแต่ภาพยนตร์เพื่อความบันเทิง
ทำไมยังต้องยืนถวายความเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีอีก และทำไมถึงนำขั้นตอนนี้ไปไว้ก่อนภาพยนตร์ฉาย?
เหตุผลก็เพราะว่าจากการสังเกตพฤติกรรมการรับชมภาพยนตร์ของคน
พบว่าส่วนใหญ่เลือกที่จะไม่รอให้ End Credit ภาพยนตร์จบก่อนแล้วค่อยเดินออกจากโรงหนัง ซึ่งจะทำให้ไม่มีคนยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมี
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ได้ย้ายขั้นตอนนี้ไปไว้ก่อนที่ทุกคนจะได้เริ่มรับชมภาพยนตร์นั่นเอง
ซึ่งการยืนขึ้นเพื่อเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีนั้นเป็นธรรมเนียมที่ต้องปฏิบัติอยู่แล้ว เพราะในระเบียบส่วนราชการในสำนักพระราชวังกำหนดให้วาระและโอกาสในการบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี กำหนดไว้ในส่วนหมายเหตุเพิ่มเติมนอกเหนือจาก 8 ข้อหลักไว้ว่า
นอกจากมหรสพ การเสด็จพระราชดำเนิน และพระราชพิธีต่างๆ แล้ว ในการแข่งกีฬา การฉายภาพยนตร์ หรือการแสดงดนตรี
ต้องมีการบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีก่อนทำการแสดงเสมอๆ หรือแม้แต่ในอดีต หากใครที่ดูทีวีจนดึกดื่นเที่ยงคืน
ก็คงจะเคยได้เห็นตอนที่รายการโทรทัศน์ยุติการฉายประจำวัน ก็จะใช้เพลงนี้ขึ้นเพื่อยุติการแพร่ภาพ รวมไปถึงการกระจายเสียงทางวิทยุด้วย เมื่อเข้าสู่วันใหม่ของสถานีวิทยุโทรทัศน์ในประเทศไทย
ขอบคุณข้อมูลภาพ