ร.9 ราชาผู้มีอารมณ์ขันกับประชาชน
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตลอดการครองราชพระองค์ทรงไปทั่วประเทศไทยเพื่อพัฒนาประเทศให้อุดมสมบูรณ์
และอีกอย่างที่มีการพูดถึงคือพระอารมณ์ขันของพระองค์ซึ่งมีการเล่ามาหลายเรื่อง...
ซุ้มในหลวง
ระยะแรกราวปี พ.ศ.2498 เป็นต้นมา คราใดที่เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระราชวังไกลกังวลนั้น จะทรงขับรถยนต์พระที่นั่งไปยังท้องที่ห่างไกลทุรกันดารย่านหัวหิน หนองพลับ แก่งกระจาน ด้วยพระองค์เอง ทำนองเสด็จประพาสต้นของรัชกาลที่ห้า โดยที่ราษฎรไม่รู้ตัวล่วงหน้าว่าทรงมาถึงแล้ว
วันหนึ่งทรงขับรถยนต์พระที่นั่งผ่านไปถึงยังบริเวณหมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านหมู่บ้านห้วยมงคล อำเภอหัวหิน ซึ่งราษฎรกำลังช่วยกันตบแต่งประดับซุ้มรับเสด็จกันอย่างสนุกสนานครื้นเครงและไม่คาดคิดว่าเป็นรถยนต์พระที่นั่งส่วนพระองค์
“..ต้องให้ในหลวงเสด็จฯ ก่อนแล้วพรุ่งนี้ถึงจะลอดผ่านซุ้มได้.. วันนี้ห้ามลอดผ่านซุ้มนี้ เพราะขอให้ในหลวงผ่านก่อนนะ..”
ทรงขับรถพระที่นั่งเบี่ยงข้างทางไม่ลอดซุ้มดังกล่าว วันรุ่งขึ้นเมื่อทรงขับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในหมู่บ้านนี้อย่างเป็นทางการ พร้อมคณะข้าราชบริพารผู้ติดตามและทรงมีพระดำรัสทักทายกับชายผู้นั้นที่เฝ้าอยู่หน้าซุ้มเมื่อวันวานว่า
“วันนี้ฉันเป็นในหลวง..คงผ่านซุ้มนี้ได้แล้วนะ..”
ลิเกเก่า คล่องศัพท์
อีกครั้งหนึ่งที่ภาคอีสาน เมื่อเสด็จขึ้นไปทรงเยี่ยมบนบ้านของราษฎรผู้หนึ่งที่คณะผู้ตามเสด็จทั้งหลายออกแปลกใจในการกราบบังคมทูลที่คล่องแคล่วและใช้ราชาศัพท์ได้อย่างน่าฉงน เมื่อในหลวงมีพระราชปฏิสันถารถึงการใช้ราชาศัพท์ได้ดีนี้ จึงมีคำกราบทูลว่า
“ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่า บัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวน พระพุทธเจ้าข้า..”
มาถึงตอนสำคัญที่ทรงพบนกในกรงที่เลี้ยงไว้ที่ชานเรือน ก็ทรงตรัสถามว่า เป็นนกอะไรและมีกี่ตัว พ่อลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า
“มีทั้งหมดสามตัว พระมเหสีมันบินหนีไป ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย และทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว”
เรื่องนี้ ดร.สุเมธเล่าว่าเป็นที่ต้องสะกดกลั้นหัวเราะกันทั้งคณะไม่ยกเว้นแม้ในหลวง
ฆ่าเชื้อด้วยแอลกอฮอล์เข้มข้น
เหตุการณ์เมื่อปี 2513 วันนั้นในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเสด็จไปหมู่บ้านท้ายดอยจอมหด อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ผู้ใหญ่บ้านลีซอกราบทูลชวนให้ไปแอ่วบ้านเฮา ท่านก็ทรงเสด็จตามเขาเข้าไปในบ้านซึ่งทำด้วยไม้ไผ่และมุงหญ้าแห้ง
ผู้ใหญ่บ้านเอาที่นอนมาปูสำหรับประทับ แล้วรินเหล้าทำเองใส่ถ้วยที่ไม่ค่อยจะได้ล้างจนมีคราบดำๆ จับ ทางผู้ติดตามรู้สึกเป็นห่วง เพราะปกติไม่ทรงใช้ถ้วยมีคราบ จึงกระซิบทูลว่าควรจะทรงทำท่าเสวย แล้วส่งถ้วยมาพระราชทานผู้ติดตามจัดการเอง
แต่ท่านก็ทรงดวดเอง กร้อบเดียวเกลี้ยง ตอนหลังทรงรับสั่งว่า
“ไม่เป็นไร แอลกอฮอล์เข้มข้นเชื้อโรคตายหมด”
มิกกี้เมาส์
เมื่อครั้งท่านพระชนม์มายุ 72 พรรษา มีการผลิตเหรียญที่ระลึกออกมาหลายรุ่น และมีเจ้าของกิจการนาฬิกายี่ห้อหนึ่งได้ยื่นเรื่องขออนุญาตนำพระบรมฉายาลักษณ์ขอท่านมาประดับที่หน้าปัดนาฬิกาเป็นรุ่นพิเศษ ท่านทราบเรื่องแล้วตรัสกับเจ้าหน้าที่ว่า
“ไปบอกเค้านะ เราไม่ใช่มิกกี้เมาส์”
ไม่ขึ้นเงินเดือน
ด้วยความที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 โปรดการถ่ายภาพ และทรงถ่ายภาพต่างๆ อยู่เป็นประจำ โดยภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ได้ไปปรากฏอยู่ในนิตยสาร “สแตนดาร์ด” ของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเปรมบุรฉัตร ทรงมีพระราชดำรัสด้วยพระอารมณ์ขันแก่ผู้ใกล้ชิดผู้หนึ่งถึงการเป็นช่างภาพอาชีพของพระองค์ว่า…
“ฉันเป็นกษัตริย์ก็จริง แต่ฉันยังมีอาชีพเป็นช่างภาพของหนังสือพิมพ์สแตนดาร์ด ได้เงินเดือนละ 100 บาท ตั้งหลายปีมาแล้ว จนบัดนี้ก็ยังไม่เห็นเขาขึ้นเงินเดือนให้สักที เขาก็คงถวายเดือนละ 100 บาทอยู่เรื่อยมา”
พระหมด
ครั้งหนึ่งขณะที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อเยี่ยมเยียนราษฎร พระองค์ท่านทรงแจกพระเครื่องให้กับราษฎรจนหมดแล้ว
แต่มีราษฎรผู้หนึ่งยังไม่ได้รับ จึงกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานพระเครื่องว่า “ขอเดชะ ขอพระหนึ่งองค์”
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงตรัสตอบว่า “ขอเดชะ พระหมดแล้ว”
หมอลำ
ครั้งหนึ่งได้มีพิธีการถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางนิติศาสตร์ พระองค์ทรงรับสั่งกับมหาดเล็กใกล้ชิดว่า “ฉันได้เป็นหมอความแล้ว”
ต่อมาเมื่อมีการถวายปริญญาทางดิน ก็รับสั่งว่า “ตอนนี้เราเป็นหมอดินแล้ว”
ไม่นานก็มีการถวายปริญญาทางดนตรีอีก จึงรับสั่งว่า “ตอนนี้เราเป็นหมอลำ”
สามมะขามป้อม
มีอยู่ครั้งหนึ่งหลังจากปีนเขาขึ้นไปบนสันเขาลูกใหญ่ลูกหนึ่ง ก็มีผู้กราบบังคมทูลถามในหลวงว่า ภูเขาลูกใหญ่ที่ปีนเมื่อบ่ายวานซืนกับลูกนี้ ลูกไหนสูงกว่ากัน
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงตรัสตอบว่า “ลูกวานซืนนี้สูงกว่า เพราะฉันเคี้ยวมะขามป้อมถึงห้าลูกกว่าจะถึงยอด แต่วันนี้เพียงสามมะขามป้อมเท่านั้น”
ได้เป็นช่าง
มีเรื่องหนึ่งเคยฟังจากผู้ใหญ่เล่าเมื่อนานมาแล้ว มีช่างไฟทำฝ้าเพดานในวังคนหนึ่งกำลังยืนบนบันได ส่วนหัวอยู่ใต้ฝ้า และมีอีกคนคอยจับบันไดอยู่ด้านล่าง พอดีในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จมา คนอยู่ข้างล่างเห็นในหลวงก็ก้มลงกราบ
คนอยู่ด้านบนมองไม่เห็นและร้องบอกว่า “เฮ้ย จับดีๆ หน่อยสิ อย่าให้แกว่ง”
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็ทรงจับบันไดให้ ช่างก็บอกว่า
“เออ ดีๆ เสร็จงานนี้จะให้เป็นช่างจริง”
พอเสร็จก็ก้าวลงมา และเมื่อเห็นว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นคนจับบันไดให้ ถึงกับเข่าอ่อนจะตกบันได รับลงมาก้มกราบ
และในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงตรัสกับช่างว่า
“แหม ดีนะที่ชมว่าใช้ได้ แถมจะปรับตำแหน่งให้เป็นช่างอีกด้วย
ถวายพระเพลิง
ในอดีตมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงสูบพระโอสถซิการ์ วันหนึ่งเมื่อทรงหยิบซิการ์ออกมา ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดจะจุดให้ จึงกราบบังคมทูลว่า
“ขอถวายพระเพลิง”
ทรงพระสรวล แล้วตรัสว่า “ยัง… ยังก่อน”
FBI
ครั้งหนึ่งได้พระราชทานสัมภาษณ์แก่ผู้แทนของนิตยสาร LOOK ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้รับสั่งว่า
“เมื่อครั้งประธานาธิบดีของท่านมาเยือนประเทศไทย มีพวก FBI และหน่วย รปภ. ห้อมล้อมกันหนาแน่นไปหมดจนหาทางเดินไม่ได้ ถ้าฉันทำเช่นนั้นก็ไม่สามารถใกล้ชิดประชาชนได้
ถ้าผู้คนเบียดกันเข้ามาใกล้เกินไปจะมีคุณยายพูดขึ้นว่า ‘หลีกทางให้ในหลวงหน่อยเถอะ’ คุณยายนั่นแหละคือ FBI ของฉัน”
บางจากไม่มีต้นจากมีแต่ยุง
มีหลายครั้งที่ทรงงานติดพันจนมืดสนิท ท่ามกลางฝูงยุงที่รุมตอมเข้ามากัดบริเวณพระวรกาย รอบพระศอ พระกร พระพักตร์ รวมทั้งแมลงต่างๆ ที่เข้ามารุมรบกวนพระองค์
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงทอดพระเนตรแผนที่ภายใต้แสงไฟฉายที่มีผู้ส่องถวายทรงไม่สะดุ้งสะทือน อย่างมากที่ทรงทำคือ โบกพระหัตถ์ปัดไล่เบาๆ เท่านั้น
และครั้งหนึ่งทรงมีรับสั่งเล่าเรื่อง ‘ยุง’ ด้วยพระราชอารมณ์ขันว่า
“ที่บางจาก แต่ไม่มีจากหรอกนะ ยุงชุมมากเลย
ไปยืนดูแผนที่เลยโดนยุงรุมกัดขาทั้งสองข้าง กลับมาขาบวมแดง ไปสกลนครกลับมาแล้วถึงได้ยุบลง มองเห็นเป็นตุ่มแดง ลองนับดูได้ข้างละร้อยห้าสิบตุ่ม สองข้างรวมสามร้อยพอดี”
จากเรื่องราวในพระอารมณ์ขันทำให้เราที่เป็นประชาชนของพระองค์รับรู้ได้ว่าพระองค์ไม่ได้ถือพระองค์ต่อประชาชนของของพระองค์...สมกับเป็นพ่อของแผ่นดินสยาม
ขอบคุณข้อมูลภาพ