รัฐบาลไทยใส่ใจสิ่งแวดล้อม ร่วมเวทีสุดยอดความยั่งยืน 2564
เรื่องดีๆของรัฐบาลที่ควรชื่นชม เมื่อวานนี้ นายวราวุธ ศิลปอาชา ร่วมเวทีสุดยอดผู้นำความยั่งยืน ประจำปี 2564 เร่งผลักดันภาคเอกชน สู้วิกฤตโลกร้อน ยกระดับการพัฒนาธุรกิจคาร์บอนต่ำตลอดห่วงโซ่อุปทาน โดยได้โพสต์ยังแฟนเพจเฟสบุ๊ค TOP Varawut - ท็อป วราวุธ ศิลปอาชา
ใจความสำคัญว่า
วันนี้ 11 ตุลาคม 2564 ผมได้รับเกียรติร่วมกล่าวถ้อยแถลง ในหัวข้อ “บทบาทของภาคเอกชนในการป้องกันและแก้ไขปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ในงานประชุมสุดยอดผู้นำความยั่งยืนประจำปี 2564 GCNT Forum: Thailand’s Climate Leadership Summit 2021 ภายใต้แนวคิด A New Era of Accelerated Actions
จัดโดย สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศ (GCNT : Global Compact Network Thailand) ร่วมกับสหประชาชาติในประเทศไทย ในรูปแบบการประชุมสัมมนาออนไลน์ เพื่อระดมพลังสมาชิก ภาคธุรกิจ ภาครัฐ และสหประชาชาติ ยกระดับความมุ่งมั่น กำหนดทางออก และค้นหาโอกาสในการรับมือกับวิกฤตจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดและกล่าวปาฐกถาพิเศษ ผ่านระบบ Video Conference ครับ
ในครั้งนี้ ผมได้ฝากให้ภาคเอกชนไทย เร่งหาทางพัฒนาไปเป็นองค์กรที่มีความยืดหยุ่นและปรับตัวได้รวดเร็วตามกระแสโลก และขอให้ภาคเอกชนขนาดใหญ่ ให้การช่วยเหลือและสนับสนุนการเสริมสร้างศักยภาพ ของธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของท่าน ให้เดินหน้าไปสู่การพัฒนาธุรกิจแบบปล่อยคาร์บอนต่ำ และรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้สอดรับกับนโยบายการพัฒนา ที่จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง (Leaving no one behind)
โดยในส่วนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะเป็นกลไกสำคัญที่จะประสานงานทุกฝ่าย และผลักดันให้ประเทศไทยสามารถส่งต่อความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ให้คนรุ่นต่อไปในอนาคต
โดยประเทศไทย ได้กำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก ที่ร้อยละ 20 – 25 ภายในปี พ.ศ. 2573 โดยเน้นการดำเนินการใน 3 สาขา ได้แก่ พลังงานและขนส่ง กระบวนการทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ และการจัดการของเสียชุมชน ทั้งยังอยู่ระหว่างการจัดทำ (ร่าง) ยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของประเทศ (Thailand’s Long-Term Low Greenhouse Gas Emission development Strategy: LTS) ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติแล้ว เมื่อวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา และจะเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป ก่อนที่จะจัดส่งยุทธศาสตร์ระยะยาวฯ ดังกล่าวไปยัง UNFCCC ในช่วงการประชุม COP26 ณ เมืองกลาสโกว์ สหราชอาณาจักร ในช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้ครับ
ทั้งนี้ ประเทศไทยจะมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero GHG emission) โดยเร็วที่สุดภายในครึ่งหลังของศตวรรษนี้ รวมถึงมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2065 โดยภาคพลังงานและขนส่งยังคงเป็นภาคส่วนหลักในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผ่านมาตรการสำคัญต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับกรอบแผนพลังงานชาติ ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
โดยภาคเอกชน สามารถมีส่วนร่วมป้องกันและแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้โดย
1) ยกระดับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของการดำเนินธุรกิจให้มีความท้าทายมากยิ่งขึ้น และสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายของประเทศ
2) เพิ่มประสิทธิภาพเครื่องมือและเครื่องจักรในกระบวนการผลิต เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
3) พัฒนาและลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ หรือเทคโนโลยีที่ช่วยแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน รวมถึงเทคโนโลยีการเตือนภัยพิบัติ และการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
นับเป็นเรื่องที่น่าผลักดัน และควรทำต่อรวมไปถึงสานต่ออย่างต่อเนื่อง https://www.facebook.com/TOPVarawut