ที่มาของคำว่า "อียักษ์ขมูขี"
"มาจะกล่าวบทไป ถึงนางมารอัศมูขี
นมยานเติบดำล่ำพี อินทรีย์สูงสุดปลายตาล"
นางยักษ์อัศมูขีอาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์
จับควายจับกวางจับสัตว์ในป่ากินเป็นอาหาร
วันหนึ่งระหว่างที่พระรามพระลักษณ์ออกเดินทางตามหานางสีดา
จนมาถึงในถิ่นที่นางยักษ์อัศมูขีอยู่ นางยักษ์ก็มาพบทั้งสองเข้า
ตอนยังเห็นพระทั้งสองไม่ถนัดนางยักษ์คิดจะจับกินเป็นอาหาร แต่พอเห็นชัด ๆ ก็ตกหลุมรักในทันที
เมื่อมองพระรามก็รูปงามจนทำอะไรไม่ถูก
เมื่อหันมามองพระลักษณ์ก็งามไม่แพ้กัน
นางยักษ์ยิ่งมองยิ่งหลงยิ่งร้อนในอารมณ์
นางยักษ์อัศมูขีไม่คิดอะไรเยอะ เอามือปิดฟ้าให้มืด
ร่ายมนต์ให้พระลักษณ์หลับ แล้วอุ้บหนีบรักแร้ไป
พระรามเดินอยู่ดี ๆ ฟ้ามืดก็เอะใจ หันมาหาพระลักษณ์
น้องก็หายไปแล้ว รู้เลยว่าต้องเกิดเรื่องอะไรไม่ดีขึ้นแน่
พระรามจึงแผลงศรไป บังเกิดเป็นแสงสว่างขึ้น
เมื่อมีแสงสว่างพระลักษณ์จึงได้สติฟื้นขึ้นมา
รู้ว่าตัวเองถูกยักษ์อุ้มอยู่ก็ตกใจ บอกให้ปล่อยก็ไม่ปล่อย
พระลักษณ์เลยจัดการตัดมือนางยักษ์อัศมูขีทั้งสอง
ข้างและจะฆ่าซะเลย แต่นางยักษ์ร้องขอชีวิต พระลักษณ์จึงปล่อยไป
.
ต่อมาคำว่านางยักษ์อัศมูขีแผลงไปแผลงมา
จึงได้กลายมาเป็นยักษ์ขมูขีตามที่เราคุ้นเคยกัน
ยักษ์ขมูขี เป็นคำว่าผู้หญิงที่รูปร่างหน้าตาน่าเกลียด อ้วนดำ แต่เราก็อย่าไปว่าใครเลยนะคะ
แสดงให้เห็นว่าอิทธิพลจากวรรณกรรมล้วนสอดแทรกอยู่ในชีวิตของเราอย่างกลมกลืน โดยที่หากเราไม่เอะใจจะไม่รู้ตัวเลยทีเดียว