เจ้าฟ้าหอคำองค์สุดท้ายแห่งแคว้นสิบสองปันนา
#ถวายอาลัยเจ้าหม่อมคำลือ เจ้าฟ้าหอคำองค์สุดท้ายแห่งแคว้นสิบสองปันนา
.. ราชอาณาจักรหอคำเชียงรุ่ง สถาปนาโดยพญาเจืองหรือสมเด็จพระเจ้าหอคำเชียงรุ่งที่หนึ่ง เมื่อประมาณ840ปีก่อน
..สิบสองปันนาเริ่มเป็นปึกแผ่นและแผ่ขยายอาณาเขตมากที่สุดในยุคท้าวอินเมือง สามารถขยายอาณาเขตเข้าไปยึดถึงเชียงตุง เมืองแถนหรือเดียนเบียนฟู เมืองเชียงแสน ล้านช้างบางส่วน
...อาณาจักรนี้ ดำรงความมั่นคงเฟื่องฟูอยู่ร้อยกว่าปี ก็ถูกรุกรานโดยชาวมองโกลรุกรานหลายครั้ง ในที่สุด ก็ตกอยู่ในการปกครองของจีนในปี พ.ศ.1833
.. ต้องใช้ตราหัวเสือหรือจุ่มกาบหลาบคำ ที่ราชสำนักจีนส่งมาให้ เป็นตราแผ่นดินแทนตรานกหัสดีลิงก์
.. แล้วเปลี่ยนชื่อเจ้าผู้ครองนคร จากชื่อภาษาลื้อ เป็นภาษาจีน เจ้าผู้ครองนครชาวลื้อเลยถูกเรียกใหม่ว่า เจ้าแสนหวีฟ้า
...ฝ่ายดินแดนใกล้เคียง เมื่อมีการสถาปนาอาณาจักรตองอูที่ลุ่มน้ำอิระวดี แล้วขยายอำนาจออกไปทางตะวันออก พระเจ้าชนะสิบทิศบุเรงนองก็ได้ยึดเมืองสิบสองปันนาไปไว้ในอำนาจอีก
...ต่อมา บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา มีการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ ในสมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระองค์ได้ส่งทัพมาตีดินแดนล้านนา จากอำนาจราชสำนักอลองพญา
.. พระองค์ได้โปรดให้พระเจ้ากาวิละ เป็นแม่ทัพยกไปตีเมืองเชียงรุ่งและกวาดต้อนพลเมืองชาวลื้อในสิบสองปันนา เมืองพน เมืองหย่วน เมืองล่า ชาวเขินและชาวไตใหญ่จากเมืองเชียงตุงมาอยู่ที่เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน พะเยาและน่านเป็นจำนวนมาก
.. ซึ่งเรียกกันว่ายุค "เก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง" อันเป็นวิธีฟื้นฟูดินแดนล้านนา จากที่ก่อนนี้ชาวล้านนาได้ถูกกวาดต้อนไปอยู่ที่พุกามและมัณฑะเลย์เป็นจำนวนมาก
...สิบสองปันนาถูกยื้อแย่ง โดยอาณาจักรใกล้เคียงไปมาอยู่ไม่นาน กระทั่งยุคสมัยแห่งการล่าอาณานิคมของตะวันตก
.. ในช่วงรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5แห่งสยาม ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส ก็เข้ามาขีดเขตอำนาจของตน ให้พม่าไปอยู่รวมกับบริติสอินเดีย สิบสองปันนาอยู่กับจีน เชียงตุงไปเป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษและฝรั่งเศสควบรวมลาว กัมพูชาและเวียดนาม
...ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นครเชียงรุ่งถูกยุบจากเมืองหลวง เป็นแค่หัวเมืองและเจ้าผู้ครองนครทั้งหลายก็ถูกปลด ระบอบเจ้าฟ้าสิ้นสุดลงอย่างสมบูรณ์ เชื้อพระวงศ์ต่างแตกกระสานกระเซ็นไปอยู่เชียงตุงบ้าง สยามบ้าง
...เจ้าหม่อมคำลือ เจ้าฟ้าหอคำองค์สุดท้าย ถูกเปลี่ยนฐานะเป็นสามัญชนคนหนึ่ง โดยทางการจีนให้ทำงานอยู่ในสถาบันชนชาติส่วนน้อยแห่งมณฑลยูนนาน
.. พระราชวังเวียงผาคราง ริมฝั่งแม่น้ำโขงถูกลื้อทำลาย ตำราทางพระพุทธศาสนาในสิบสองปันนาถูกเผาทำลายลงเป็นจำนวนมาก การปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนาถูกสั่งห้ามโดยเด็ดขาด
.. พระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ที่เคยรุ่งเรืองในเชียงรุ่งต้องหยุดลงและขาดช่วงไป วิถีวัฒนธรรมของชาวลื้อ ที่เต็มไปด้วยภูมิปัญญาถูกเข้มงวดกวดขัน
.. การปฏิบัติตนตามวิถีวัฒนธรรมเก่า ถูกลบล้างลงในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม ในยุคของเหมาเจ๋อตุงอย่างน่าเสียดาย
...ตาว ซื่อซินหรือเจ้าหม่อมคำลือ เป็นเจ้าฟ้าองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์พญาเจืองหรือราชวงศ์อารยะโวสวนตาน ที่ปกครองอาณาจักรหอคำเชียงรุ่งมายาวนานถึง 790 ปี
.. ถือเป็นอาณาจักรลื้อหนึ่งเดียวที่มีระบอบศักดินาแบบจารีตยาวนานที่สุดในลุ่มน้ำโขง
...เจ้าหม่อมคำลือ ประสูติเมื่อปี ค.ศ. 1928 เป็นราชบุตรของ เจ้าหม่อมแสนเมือง ซึ่งเป็นอนุชาของเจ้าฟ้าองค์ก่อน
.. ท่านได้เป็นรัชทายาทเพราะ เจ้าฟ้าองค์ก่อนที่มีศักดิ์เป็นอา ไม่มีราชบุตร จึงได้ขอเจ้าหม่อมคำลือเป็นราชบุตรบุญธรรม แล้วส่งไปเรียนหนังสือที่เมืองจุงกิงตั้งแต่อายุ 16 ปี
.. จนถึงปี ค.ศ. 1944 เจ้าหม่อมคำลือได้เข้า "พิธีฮับเมือง” แต่ในช่วงนั้นเกิด สงครามมหาเอเชียบูรพา พิธีฮับเมืองจึงไม่สมบูรณ์ ท่านจึงได้กลับไปศึกษาต่อ แล้วกลับมาทำพิธีฮับเมืองครั้งที่สอง เมื่อ ค.ศ. 1948 ขณะอายุ 20 ปี
...หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ภายในประเทศจีน ราวปี ค.ศ. 1949-1950 ท่านจึงกลายเป็น “เจ้าฟ้าองค์สุดท้าย” ถูกเปลี่ยนฐานันดรศักดิ์จากกษัตริย์เป็นสามัญชน โดยที่ยังมิได้บริหารราชการแผ่นดินเลย
.. เจ้าหม่อมคำลือ สวรรคต เมื่อเวลา 02.00น.ของวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2560 พระชันษา 89 ปี ณ เมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน
.. ชีวิตครอบครัว ท่านได้สมรสกับ สิว์ จิ๊ว เฟิน ชาวจีนเมืองคุนหมิง ในปี ค.ศ. 1953 ก่อนที่จะทำงานเป็นนักวิจัยด้านภาษาศาสตร์ อีก 8 ปี ที่สถาบันวิจัยชนชาติส่วนน้อยแห่งชาติ สังกัดสภาวิทยาศาสตร์ประเทศจีน ในมหาวิทยาลัยปักกิ่ง
...ต่อมาเจ้าหม่อมแสนเมือง ได้ขอให้รัฐบาลจีนย้ายทั้งสองกลับมาที่คุนหมิง โดยมาทำงานเป็นนักวิจัยด้านภาษา ซึ่งรวมถึงอักษรลื้อด้วย
.. จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1971 รัฐบาลจีน มีคำสั่งให้เจ้าหม่อมคำลือและภรรยาไปทำงานในชนบท ทำงานในสวนอ้อยบริเวณ อำเภอเชียงกุ ทางตอนเหนือของสิบสองปันนา เป็นเวลานานถึง 9 ปี
..การใช้เวลาในสวนอ้อยนี้ สิว์ จิ๊ว เฟิน ชายาของท่านเล่าว่า สามารถพกหนังสือหรือตำราเข้าไปอ่านได้ด้วย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี ภายใต้สถานการณ์ที่เลวร้าย
.. หลังจาก เติ้ง เสี่ยว ผิง ได้เป็นนายกรัฐมนตรีของจีนแล้ว เห็นว่านโยบายเอียงซ้าย นโยบายที่ให้เจ้านาย ไปใช้แรงงานในชนบทเป็นนโยบายที่ผิดพลาด
.. ดังนั้นเจ้าหม่อมคำลือและชายา จึงมีโอกาสกลับนครคุนหมิง โดยทำงานเป็นนักวิจัยที่สถาบันวิจัยชนชาติในมหาวิทยาลัยชนชาติยูนนาน จนกระทั่งเกษียณอายุ โดยมีคุณวุฒิทางวิชาการ คือศาสตราจารย์
...หลังจากเกษียณอายุแล้ว ทางการจีนได้ให้ฐานะ ทางสังคมแก่เจ้าหม่อมคำลือ ในฐานะเจ้านายเก่าคือเป็นรองประธานสภาที่ปรึกษาการเมืองระดับมณฑล และกรรมการสภาที่ปรึกษาการเมืองแห่งชาติ
...เจ้าหม่อมคำลือมีพระอนุชาชื่อ เจ้าหม่อมมหาวัง อยู่ที่อำเภอแม่สาย เชียงราย ปัจจุบันท่านก็สิ้นแล้ว คงเหลือแต่ลูก ๆซึ่งอยู่ที่แม่สายรวมถึงในกรุงเทพฯ ที่ใช้นามสกุล “คำลือ” เพื่อเป็นที่ระลึกถึง
ขอบคุณข้อมูลภาพ