หนุ่มกลุ้มใจเพราะเสพติดคำชม!!จนไม่มีความสุขกับตนเอง
หนุ่มใหญ่คนหนึ่งอยากเอาชีวิตออกจากวังวน...หลงคำชื่นชม จนบางครั้งชีวิตต้องระมัดระวังจนหาความสุขไม่ได้
ผมเป็นคนที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยคำชื่นชมจากคนรอบข้าง
เล่าก่อนว่าผมเป็นคนที่
แคร์ภาพลักษณ์ตัว
เองมาก
ทำอะไรแล้วได้รับคำชื่นชมจากสังคมจะทำสิ่งนั้น จนดูเหมือนสร้างภาพ
เป็นมาตั้งแต่สมัยจำความได้ ตั้งแต่อนุบาล
- ชอบทำอะไร ที่ทำแล้วครูจะชม พ่อแม่จะชม สังคมจะชม
- ตั้งใจเรียน ไม่เอาเสื้อออกนอกกางเกงนักเรียน
- วัยมัธยมไม่เคยโดดเรียน เรียนคณะที่คะแนนสูงที่คนมองว่าเก่ง
(เท่าที่ความสามารถจะไปถึง)
ทำงานในส่วนที่คนมองว่าดี มั่นคง
ซื้อบ้าน ซื้อรถ เหมือนคนทั่วไป แต่งงานเมื่ออายุ 20 ปลายๆ
ตอนทำงานแทบจะออกจากที่ทำงานเป็นคนสุดท้าย
ทั้งที่บางทีไม่มีงาน แต่กลับช้าเพื่อให้คนมองว่าขยัน
ชีวิตส่วนตัว ไม่เที่ยวกลางคืน ไม่ดื่ม ไม่สูบ
คือสรุป อะไรก็ตามที่คนทั่วไปมองว่ามันดี เป็นแล้ว ทำแล้ว คนจะชื่นชม
ผมทำแบบนั้นหมด
ชีวิตทุกวันนี้ มันก็มีครบ ไม่ลำบาก
แต่เหมือนเส้นทางชีวิตผมถูกขีดด้วยคนอื่น ทั้งเป็นคนจริงๆ และกระแสสังคม
อยากออกจากวงจรที่ต้องการเสียงชื่นชม วงจรที่ต้องสร้างภาพ
ควรเริ่มยังไงครับ
เพื่อนแนะนำว่า
คงไม่ดี..เอาที่ดีๆครับ
ผมหาข้อมูลทางการแพทย มาว่า...
โรคหลงตัวเอง (Narcissistic Personality Disorder) คือ โรคบุคลิกภาพผิดปกติชนิดหนึ่ง โดยผู้ป่วยโรคนี้จะมีลักษณะยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง ต้องการการยกยอชื่นชม และขาดความเห็นใจผู้อื่น มักหมกมุ่นอยู่กับการโอ้อวดตัวตนของตัวเอง เช่น ความสำเร็จ รูปร่างหน้าตา หรือฐานะทางการเงิน เชื่อว่าตัวเองนั้นเหนือกว่าผู้อื่น รวมทั้งมักคบค้าสมาคมกับบุคคลที่เห็นว่ามีความพิเศษหรือสำคัญมาก การกระทำดังกล่าวจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นและเคารพนับถือตัวเองให้มากขึ้น เนื่องจากผู้ป่วยโรคนี้มีความนับถือตัวเองต่ำ ไม่สามารถทนการวิพากษ์วิจารณ์ได้ และมักอับอายหรือรู้สึกอ้างว้างเมื่อถูกปฏิเสธหรือได้รับการวิจารณ์ข้อเสียของตัวเองอาการของโรคหลงตัวเอง
ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคหลงตัวเองจะปรากฏสัญญาณหรือพฤติกรรมของโรค 5 ลักษณะ หรือมากกว่านั้น ดังนี้
- มักยึดตัวเองเป็นสำคัญมากเกินไป เช่น หวังว่าผู้อื่นจะเห็นว่าตัวเองพิเศษหรือเหนือกว่าในด้านต่าง ๆ
- มักหมกหมุ่นกับการคิดถึงความสำเร็จ อำนาจ ความร่ำรวย ความงาม หรือความรักในอุดมคติของตัวเอง
- เชื่อว่าตัวเองเป็นคนพิเศษ และบุคคลที่มีความพิเศษหรือสถานะทางสังคมที่สูงเทียบเท่ากันเท่านั้นถึงจะเข้าใจตน
- ต้องการความสนใจ การยอมรับ และความชื่นชมจากผู้อื่น
- คิดว่าสมควรได้รับอภิสิทธิ์ต่าง ๆ อย่างไม่มีเหตุผล
- แสวงหาประโยชน์จากผู้อื่น เพื่อให้ตนเองบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ
- ขาดความเห็นใจและนึกถึงผู้อื่น
- มักริษยาผู้อื่น หรือเชื่อว่าคนรอบข้างอิจฉาตนเอง
- มีความคิดหรือพฤติกรรมที่เย่อหยิ่ง จองหอง
สาเหตุของโรคหลงตัวเอง
โรคหลงตัวเองยังไม่ปรากฏสาเหตุอย่างชัดเจน โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคนี้ค่อนข้างซับซ้อนเช่นเดียวกับปัญหาสุขภาพจิตอื่น ๆ โรคหลงตัวเองอาจมีปัจจัยทางพันธุกรรม สภาพแวดล้อม และการเลี้ยงดู ซึ่งนำไปสู่ภาวะดังกล่าวเป็นสำคัญ พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกตามใจมากเกินไปหรือละเลยการเอาใจใส่ลูก อาจทำให้เด็กเกิดความคิดและพฤติกรรมที่นำไปสู่โรคหลงตัวเองได้ รวมทั้งอาจเกิดความผิดปกติของสมองที่เกี่ยวเนื่องกับความคิดและพฤติกรรมดังกล่าว
โรคหลงตัวเองนับเป็นปัญหาสุขภาพจิตที่พบได้ไม่บ่อยนัก ส่วนใหญ่แล้ว เด็กเล็กและวัยรุ่นอาจแสดงพฤติกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับโรคนี้ แต่ไม่ได้พัฒนากลายเป็นโรคหลงตัวเองเสมอไป เนื่องจากพฤติกรรมดังกล่าวเป็นการแสดงออกตามวัย ทั้งนี้ ผู้ชายมักป่วยเป็นโรคหลงตัวเองมากกว่าผู้หญิง และจะเริ่มเป็นเมื่อเข้าช่วงวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ตอนต้น
การวินิจฉัยโรคหลงตัวเอง
โดยทั่วไปแล้ว ผู้ป่วยที่ประสบความผิดปกติทางบุคลิกภาพต่าง ๆ จะเริ่มพบแพทย์เพื่อรับการรักษาในกรณีที่รู้สึกว่าอาการป่วยกำลังแทรกแซงและส่งผลกระทบต่อชีวิตตนเอง นักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยปัญหาความผิดปกติเกี่ยวกับบุคลิกภาพ โดยพิจารณาว่าปรากฏอาการที่เข้าข่ายพฤติกรรมของโรคหลงตัวเอง 5 ลักษณะหรือมากกว่านั้นตามที่กล่าวไปข้างต้นหรือไม่ ผู้ป่วยบางรายอาจได้ทำแบบวัดระดับบุคลิกภาพของโรคหลงตัวเอง (Narcissistic Personality Inventory) ซึ่งประกอบด้วยคำถามจำนวน 40 ข้อ ทั้งนี้ แพทย์จะตรวจร่างกายร่วมด้วย เพื่อยืนยันว่าอาการที่ปรากฏนั้นไม่ได้เกิดจากการได้รับบาดเจ็บอื่น ๆ
การรักษาโรคหลงตัวเอง
ผู้ป่วยโรคหลงตัวเองจะได้รับการรักษาด้วยวิธีจิตบำบัด ซึ่งเป็นการรักษาระยะยาวและทำโดยนักบำบัดที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับความผิดปกติของบุคลิกภาพโดยตรง ทั้งนี้ ผู้ป่วยอาจได้รับยาที่สั่งจ่ายจากแพทย์ควบคู่กับการทำจิตบำบัด ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
- จิตบำบัด วิธีนี้จะช่วยให้ผู้ป่วยสร้างสัมพันธ์อันดีกับผู้คนรอบข้าง เข้าใจสาเหตุที่ทำให้เกิดความคิดและพฤติกรรมของโรคหลงตัวเอง เช่น สาเหตุที่ทำให้อยากแข่งขัน ไม่เชื่อใจผู้อื่น หรือดูถูกผู้อื่น การทำจิตบำบัดต้องใช้เวลาหลายปี เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพของคนเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ผู้ป่วยที่เข้ารับการบำบัดจะได้รับประโยชน์จากการรักษา ดังนี้
- ยอมรับและรักษาความสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้างตามความเป็นจริง รวมทั้งเรียนรู้การทำงานร่วมกับผู้อื่น
- ยอมรับความสามารถและศักยภาพที่แท้จริงของตนเอง ส่งผลให้สามารถรับคำวิจารณ์ผู้อื่นหรือเมื่อต้องประสบความล้มเหลวได้
- ทำให้เข้าใจและสามารถจัดการอารมณ์และความรู้สึกของตัวเองได้ดีขึ้น
- เข้าใจและสามารถยอมรับเรื่องราวที่ส่งผลต่อความนับถือและความเชื่อมั่นตัวเอง
- สามารถบอกได้ว่าต้องการบรรลุเป้าหมายที่ไม่สามารถเป็นไปได้ รวมทั้งยอมรับศักยภาพตัวเองที่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ตามจริง
- การรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์ ผู้ป่วยโรคหลงตัวเองที่มีอาการรุนแรง โดยเกิดอาการหรือพฤติกรรมอื่นที่นอกเหนือไปจากอาการป่วยโรคหลงตัวเอง จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลและดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด เช่น มีอารมณ์เกรี้ยวกราด ทำร้ายตัวเอง หลงผิดไปจากความเป็นจริง ซึมเศร้า หรือวิตกกังวลเพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสม
ภาวะแทรกซ้อนของโรคหลงตัวเอง
ผู้ป่วยโรคหลงตัวเองที่ไม่เข้ารับการรักษา อาจได้รับผลกระทบจากอาการป่วยได้ อาการป่วยของโรคอาจไม่ส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนเกี่ยวกับสุขภาพกาย แต่จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน โดยผู้ป่วยจะมีปัญหาความสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้าง มีปัญหาในการทำงานหรือเรียนหนังสือ ประสบภาวะซึมเศร้า ใช้สารเสพติดหรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งมีความคิดและพฤติกรรมเสี่ยงฆ่าตัวตาย ผู้ป่วยหรือผู้ที่มีบุคคลรอบข้างป่วยเป็นโรคนี้ควรพบแพทย์เพื่อปรึกษาและเข้ารับการบำบัดอาการอย่างถูกต้อง
การป้องกันโรคหลงตัวเอง
วิธีป้องกันโรคหลงตัวเองยังไม่ปรากฏแน่ชัด เนื่องจากไม่สามารถระบุสาเหตุของโรคนี้ได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยหรือผู้ที่มีบุคคลรอบข้างป่วยเป็นโรคหลงตัวเองสามารถบำบัดให้หายได้ โดยพาผู้ป่วยไปพบแพทย์และรับการบำบัดในกรณีที่ผู้ป่วยอายุยังน้อย ส่วนพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ที่ดูแลผู้ป่วยควรเข้ารับการบำบัดเพื่อเรียนรู้วิธีสื่อสารและรับมือกับอารมณ์ของผู้ป่วย รวมทั้งรับคำปรึกษาจากนักบำบัดเพิ่มเติมในกรณีที่จำเป็น
นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคหลงตัวเองที่คิดว่าไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษา อาจลองเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมที่มีต่อการรักษา โดยปฏิบัติ ดังนี้
- เปิดใจและมุ่งมั่นไปที่รางวัลอันเป็นเป้าหมายของการรักษา
- ควรเข้ารับการบำบัดตามกำหนดและรับประทานยาตามแพทย์สั่งจ่ายอย่างเคร่งครัด
- หาข้อมูลเกี่ยวกับโรคหลงตัวเอง เพื่อจะได้เข้าใจอาการ ปัจจัยเสี่ยง และวิธีรักษาโรคดังกล่าวมากขึ้น
- ควรเข้ารับการรักษาปัญหาสุขภาพจิตและพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพซึ่งเกิดขึ้นร่วมด้วย เช่น การใช้สารเสพติด โรคซึมเศร้า อาการวิตกกังวล และความเครียด เนื่องจากอาจนำไปสู่สภาวะอารมณ์และสุขภาพที่ไม่ดีได้
- พยายามผ่อนคลายเพื่อรับมือกับความเครียด เช่น นั่งสมาธิ หรือเล่นโยคะ เป็นต้น
- ควรตั้งเป้าหมายในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตหลังเข้ารับการรักษา เนื่องจากช่วงพักฟื้นต้องใช้เวลานานจนกว่าจะหายเป็นปกติ การตั้งเป้าหมายจะช่วยให้ผู้ป่วยมีแรงกระตุ้น เพื่อตั้งใจทำตามเป้าหมายดังกล่าว
อย่ายึดติดกับความคาดหวังของคนอื่น...
ขอบคุณข้อมูลภาพ