กระเจี๊ยบเขียว..กินสดได้นะ
ปลูกกระเจี๊ยบเขียวไว้ วันนี้มารู้ประโยชน์ของกระเจี๊ยบเขียวไปพร้อมๆ กันเลยดีกว่าค่าาา
ชื่อเรียกทั่วไป
-กระเจี๊ยบเขียว
ชื่อเรียกตามท้องถิ่น
-กระต้าด(สมุทรปราการ)
-กระเจี๊ยบ, กระเจี๊ยบมอญ, มะเขือ, มะเขือมอญ, มะเขือทะวาย, ทวาย(ภาคกลาง)
-มะเขือมอญ, มะเขือพม่า, มะเขือละโว้, มะเขือขื่น, มะเขือมื่น(ภาคเหนือ)
-ถั่วเละ(ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)
กระเจี๊ยบเขียว ในอินเดียจะเรียกกระเจี๊ยบเขียวว่า บินดี(Bhindi) ในประเทศแถบเมดิดเตอร์เรเนียน จะเรียกว่า บามี(Bamies)
กระเจี๊ยบเขียว ในประเทศไทย มีพื้นที่การปลูกกระเจี๊ยบเขียวมากที่สุด ส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ในภาคกลาง เช่น นครปฐม ปทุมธานี นนทบุรี นครนายก ราชบุรี ระยอง พิจิตร สุพรรณบุรี สมุทรสาคร และกาญจนบุรี
กระเจี๊ยบเขียว เป็นสมุนไพรที่อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย หลายคนจึงเชื่อว่าการบริโภคกระเจี๊ยบเขียวอาจช่วยบำรุงสุขภาพและรักษาโรคต่างๆ ได้ เช่น ช่วยต้านสารอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายต่อเซลล์ภายในร่างกาย
กระเจี๊ยบเขียว นิยมรับประทานตอนฝักอ่อน มีรสหวาน กรอบ อร่อย ส่วนฝักแก่จะมีเนื้อเหนียวไม่เป็นที่นิยมในการรับประทาน นิยมรับประทานคู่กับน้ำพริกทั้งแบบสดและแบบลวกต้มสุกก่อน(แบบต้มสุกเวลาเคี้ยวจะลื่นมากกว่ารับประทานแบบสด) และนำไปปรุงอาหารเมนูอื่นๆ
กระเจี๊ยบเขียว มีอยู่หลายสายพันธ์ุด้วยกัน ซึ่งจะมีความแตกต่างกันในเรื่องของลักษณะ เช่น ความสูงของต้น ความยาวของฝัก สีของฝัก หรือจำนวนเหลี่ยมบนฝัก แต่สายพันธุ์ที่มีการเพาะปลูกเพื่อการส่งออกนั้น จะต้องเป็นสายพันธ์ุที่มีฝัก 5 เหลี่ยม สีฝักมีสีเขียวเข้ม เส้นใยน้อย ผิวของฝักมีขนละเอียด ฝักดก ให้ผลผลิตสูง และมีลำต้นเตี้ย
สรรพคุณของกระเจี๊ยบเขียว
-ฝักกระเจี๊ยบเขียวมีเส้นใยอยู่มาก จึงช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ได้ โดยช่วยรักษาระดับการดูดซึมน้ำตาลจากสำไส้ใหญ่ให้คงที่ กระเจี๊ยบเขียวจึงเป็นผักที่เหมาะอย่างมากสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน(ผล)
-ใช้เป็นยาบำรุงสมอง(ผล)
-ช่วยรักษาโรคความดันโลหิต รักษาความดันให้เป็นปกติ(ผล)
-ช่วยแก้อาการหวัด รักษาหวัด(ผล)
-ช่วยป้องกันอาการหลอดเลือดตีบตัน(ผล)
-ช่วยขับเหงื่อ(ใบ)
-กระเจี๊ยบเขียว ช่วยแก้โรคปากนกกระจอก(ใบ)
-เส้นใยของกระเจี๊ยบเขียว ยังช่วยกำจัดไขมันปริมาณสูงที่น้ำดี ซึ่งจะช่วยลดไขมันและคอเลสเตอรอลได้ คล้ายกับการกินยาลดไขมันและคอเลสเตอรอล(สแตติน)(ผล)
-ช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกายและช่วยลดคอเลสเตอรอล โดยเส้นใยของกระเจี๊ยบเขียวเป็นตัวช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้ โดยการจัดกับน้ำดี ซึ่งมักจับสารพิษที่ร่างกายต้องการขับถ่ายที่ถูกส่งมาจากตับ และสารเมือกในฝักยังช่วยจับสารพิษเหล่านี้ ซึ่งการจับกับน้ำดีนี้จะเกิดในลำไส้และขับออกมาทางอุจจาระ ทำให้ไม่เหลือสารพิษตกค้างอยู๋ในลำไส้(ผล)
-กระเจี๊ยบเขียว ใช้เป็นยาระบายอ่อนๆ (ผล)
-การรับประทานฝักกระเจี๊ยบเขียว เป็นประจำ ช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหาร เยื่อบุกระเพาะและลำไส้อักเสบ ช่วยในการทำงานของระบบขับถ่าย จึ่งช่วยในการขับถ่าย ทำให้ถ่ายอุจจาระได้คล่อง ช่วยป้องกันอาการท้องผูกได้เป็นอย่างดี และช่วยในการทำงานของระบบดูดซึมสารอาหาร ช่วยสนับสนุนการขยายพันธ์ุของแบคทีเรียที่มีประโยชน์(โพรไบโอติกแบคทีเรีย) ช่วยลดความเสี่ยงของโรคแผลในกระเพาะอาหาร ป้องกันมะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งลำไส้ใหญ่(ผล)
-ในฝักกระเจี๊ยบเขียว มีสารที่เป็นเมือกจำพวกเพกทิน(Pectin) และกัม(Gum) ที่มีคุณสมบัติช่วยในการเคลือบแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ โดยป้องกันไม่ให้เกิดการลุกลามของแผลได้เป็นอย่างดี(ได้ผลดีเท่าๆ กับยา Misoprotol) และยังช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดแผลในกระเพาะอาหารได้(ผล)
-เมือกลื่นในฝักกระเจี๊ยบเขียว ช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร ทำให้กระเพาะไม่เกิดการระคายเคือง ช่วยทำให้อาหารถูกย่อยในลำไส้ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น(ผล)
-ช่วยแก้บิด ด้วยการใช้ผลแก่นำมาบดเป็นผง ใช้ผสมกับน้ำดื่มแก้อาการ(ผล)
-ช่วยบรรเทาอาการปวดท้องของโรคกระเพาะ หรือในผู้ป่วยที่เยื่อบุกระเพาะและลำไส้อักเสบ(ผล)
-ช่วยแก้อาการกรดไหลย้อนกลับ ด้วยการนำฝักกระเจี๊ยบเขียวมาต้มในน้ำเกลือแล้วใช้กินแก้อาการ(ผล)
-ช่วยขับพยาธิตัวจี๊ด(สาเหตุมาจากการได้รับตัวอ่อนของพยาธิที่อยู่ในเนื้อดิบ เช่น หมู เป็ด ไก่ กบ กุ้ง เนื้อปลา เป็นต้น) ด้วยการรับประทานฝักกระเจี๊ยบเขียวติดต่อกันเป็นเวลาอย่างน้อย 15 วัน แต่สำหรับบางรายต้องรับประทานเป็นเดือนจึงจะหาย(ผล)
-ช่วยแก้อาการขัดเบา(ในอินเดีย)(ผล)
-ในตำรายาแผนโบราณของจีน มีการนำราก เมล็ด และดอกกระเจี๊ยบ สรรพคุณใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ส่วนในประเทศอินเดียนั้นจะใช้ฝักนำมาต้มกับน้ำดื่ม เพื่อช่วยขับปัสสาวะ เมื่อมีอาการกระเพาะปัสสาวะและทางเดินปัสสาวะอักเสบ หรือเมื่อปัสสาวะขัด(ผล, ราก, เมล็ด, ดอก)
-ในอินเดีย ใช้ผลกระเจี๊ยบเขียวเป็นยารักษาโรคหนองใน(ผล)
-รากนำมาต้มน้ำเพื่อใช้รักษาโรคซิฟิลิส(Syphilis) (ราก)
-การรับประทานฝักกระเจี๊ยบเขียวเป็นประจำสามารถช่วยบำรุงตับได้(ผล)
-ดอกกระเจี๊ยบเขียวนำมาตำใช้พอกรักษาฝีได้(ดอก)
-ในเนปาล นำน้ำคั้นจากรากมาใช้เพื่อล้างแผลและแผลพุพอง(ราก)
-ยางจากผลสด ใช้เป็นยารักษาแผลสด เมื่อถูกของมีคมบาด หรือใช้ยางกระเจี๊ยบเขียวทาแผล จะช่วยทำให้แผลหายเร็วขึ้น และไม่ทำให้เกิดแผลเป็น(ยางจากผล)
-ในอินเดีย มีการใช้เมล็ดนำมาบดผสมกับนม ใช้ทาผิวหนังเพื่อแก้อาการคัน(เมล็ด)
-ใบกระเจี๊ยบ ใช้ผสมกับสมุนไพรชนิดอื่น นำมาประคบเพื่อลดอาการอักเสบ ปวด บวมได้ และช่วยทำให้ผิวหนังชุ่มชื้นไม่แตกแห้ง(ใบ)
-ใช้เป็นยาบำรุงข้อ กระดูก โดยมีการเล่ากันว่า ชาวชุมชนมุสลิมทางภาคใต้สมัยก่อน จะนิยมกินผักที่เป็นเมือก เช่น ผักกูด และกระเจี๊ยบเขียว เพื่อช่วยเพิ่มไขมันหรือเมือกให้ข้อกระดูก โดยเชื่อว่าจะทำให้หัวเข่าหรือข้อต่อกระดูกมีน้ำเมือกมากขึ้น ทำให้ไม่เกิดการบาดเจ็บและช่วยให้ทำงานได้ดีขึ้น เสมือนเป็นน้ำหล่อเลี้ยง(ผล)
-ผลกระเจี๊ยบมีเมือกลื่นที่ช่วยทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น ไม่แห้งแตก บางคนจึงนิยมนำผลอ่อนมาพอกผิวเมื่อมีอาการแสบร้อน(ผล)
-การรรับประทานกระเจี๊ยบเขียวเป็นประจำ จะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของทารกในครรภ์และช่วยเสริมสร้างเม็ดเลือดแดง เนื่องจากมีโฟเลตสูง โดยฝักแห้ง 40 ฝัก จะเทียบเท่ากับปริมาณที่แนะนำให้รับประทานในแต่ละวัน(ผล)
ประโยชน์ของกระเจี๊ยบเขียว
-ฝักอ่อนหรือผลอ่อน ใช้เป็นผักจิ้มรับประทาน โดยนำมาต้มให้สุกหรือย่างไฟก่อน หรือนำมาใช้ทำแกงต่างๆ เช่น แกงส้ม แกงเลียง แกงจืด ใช้ใส่ในยำต่างๆ ใช้ชุบแป้งทอด ทำเป็นสลัดหรือซุปก็ได้
-เมนูกระเจี๊ยบเขียว เช่น แกงส้มกระเจี๊ยบเขียว แกงเลียงกระเจี๊ยบเขียว แกงจืดกระเจี๊ยบเขียวยัดไส้ แกงกะหรี่ปลาใส่กระเจี๊ยบเขียว กระเจี๊ยบเขียวผัดผง... ผัดเมล็ดกระเจี๊ยบเขียว กระเจี๊ยบเขียวผัดขิงอ่อน ห่อหมกกระเจี๊ยบเขียว กระเจี๊ยบเขียวต้มกะทิปลาสลิด ยำกระเจี๊ยบเขียว กระเจี๊ยบเขียวชุบแป้งทอด สลัดกระเจี๊ยบเขียว ชากระเจี๊ยบเขียว เป็นต้น
-สำหรับชาวอียิปต์ มักใช้ผลกระเจี๊ยบเขียวรับประทานร่วมกับเนื้อสัตว์ หรือนำมาใช้ในการปรุงสตูว์เนื้อน้ำข้น สตูว์ผัก หรือนำไปดอง ส่วนประเทศสหรัฐอเมริกาทางตอนใต้จะใช้ผลอ่อนนำมาต้มเป็นสตูว์กับมะเขือเทศที่เรียกว่า "กัมโบ้" หรือทางตอนใต้ของอินเดียจะนำผลกระเจี๊ยบเขียวมาผัดหรือใส่ในซอสข้น ส่วนชาวฟิลิปปินส์จะใช้กินเป็นผักสดและนำมาย่างกิน และชาวญี่ปุ่นจะนำมาชุบแป้งทอดกินกับซีอิ๊ว
-ดอกอ่อนและตาดอกสามารถนำมารับประทานได้เช่นกัน
-รากกระเจี๊ยบเขียวสามารถนำมารับประทานได้ แต่จะค่อนข้างเหนียวและไม่เป็นที่นิยม
-แป้งจากเมล็ดแก่ เมื่อนำมาบด สามารถนำมาใช้ทำเป็นขนมปังหรือทำเป็นเต้าหู้ได้
-ใบตากแห้งนำมาป่นเป็นผง ใช้โรยอาหารและช่วยชูรสชาติอาหารได้
-ฝักที่นำมาตากแห้งแล้ว สามารถนำมาใช้ทำเป็นชาไว้ชงดื่มได้
-เมล็ดกระเจี๊ยบเขียวนำมาคั่วและบด สามารถนำมาใช้แทนเมล็ดกาแฟได้ หรือนำใช้ในการแต่งกลิ่นกาแฟ
-ใบกระเจี๊ยบเขียว นำมาใช้เป็นอาหารวัวหรือใช้เลี้ยงวัวได้
-กากเมล็ดมีโปรตีนมาก เหมาะสำหรับใช้เป็นอาหารสัตว์
-ในประเทศอินเดีย มีการใช้เมล็ดกระเจี๊ยบเขียวเพื่อไล่ผีเสื้อเจาะผ้า
-ในประเทศอินเดีย โรงงานผลิดน้ำตาลบางแห่ง มีการใช้เมือกจากต้นนำมาใช้ในกระบวนการทำให้น้ำอ้อยสะอาด
-เปลือกต้นกระเจี๊ยบเขียว แม้จะไม่เหนียวนัก แต่ก็สามารถนำมาใช้ทอกระสอบ ทำเชือก เชือกตกปลา ตาข่ายดักสัตว์ ใช้ถักทอเป็นผ้าได้ หรือทำเป็นกระดาษ ลังกระดาษได้
-เมือกจากผลกระเจี๊ยบเขียว สามารถนำมาใช้เคลือกกระดาษให้มันได้
-กระเจี๊ยบเขียว เป็นพืชที่สามารถปลูกได้ตลอดปี จึงเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญสำหรับเกษตรกรไทย เนื่องจากต่างประเทศมีการสั่งซื้อกระเจี๊ยบเขียวของไทยปีละหลายล้านบาท โดยมีบริษัทที่ทำโครงการปลูกกระเจี๊ยบเขียวอย่างครบวงจร มาร่วมมือกับเกษตรกรไทยในหลายพื้นที่ช่วยกันปลูกเพื่อส่งออก
-สำหรับัในต่างประเทศ มีการนำกระเจี๊ยบเขียวไปผลิตแปรรูปได้อย่างหลากหลาย เช่น ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร ทำเป็นอาหารกระป๋อง อาหารแช่แข็ง หรืออาหารสำเร็จรูป เช่น กระเจี๊ยบเขียวอบแห้ง หรือนำไปใช้ในอุตสาหกรรมขนมหวาน รวมไปถึงอุตสาหกรรมเครื่องหอม อุตสาหกรรมยา เช่น ทำเป็นยาผงและแคปซูล
คุณค่าทางโภชนาการของกระเจี๊ยบเขียวดิบ ต่อ 100 กรัม
-พลังงาน 33 กิโลแคลอรี
-คาร์โบไฮเดรต 7.45 กรัม
-น้ำตาล 1.48 กรัม
-เส้นใย 3.2 กรัม
-ไขมัน 0.19 กรัม
-โปรตีน 1.93 กรัม
-น้ำ 89.58 กรัม
-วิตามินเอ 36 ไมโครกรัม 5%
-วิตามินบี 1 0.2 มิลลิกรัม 17%
-วิตามินบี 2 0.06 มิลลิกรัม 5%
-วิตามินบี 3 1 มิลลิกรัม 7%
-วิตามินบี 6 0.215 มิลลิกรัม
-วิตามินซี 23 มิลลิกรัม 28%
-วิตามินอี 0.27 มิลลิกรัม 2%
-วิตามินเค 31.3 ไมโครกรัม
-ธาตุแคลเซียม 82 มิลลิกรัม 8%
-ธาตุเหล็ก 0.62 มิลลิกรัม 5%
-ธาตุแมกนีเซียม 57 มิลลิกรัม 16%
-ธาตุโพแทสเซียม 299 มิลลิกรัม 6%
-ธาตุสังกะสี 0.58 มิลลิกรัม 6%
% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)
ขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามาเยี่ยมชม
ขอให้ทุกท่านโชคดี



พบเครื่องบิน "โบอิ้ง 737" ที่หายไป 13 ปี ถูกจอดทิ้งกลางสนามบิน
10 อันดับเมืองที่มีมลพิษสูงสุดกรุงเทพฯ
2569 ตรงกับเป็นปีนักษัตรอะไร สีนำโชค พร้อมปีชง
'ฮุนเซน' ควันออกหู หลังลาวฉวยโอกาสขายของตัดหน้า แย่งสัมปทานจีน
ชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทย
พืชที่มีพิษร้ายแรงเทียบเท่าพิษงูเห่า
ชาว เกษตรกร เขมร กดดันไทยเปิดด่าน ควบรถไถเหยียบนาข้าวทิ้ง ราคาตกต่ำสุดขีด
แคปซูลกาลเวลา 1,700 ปี การค้นพบหลุมศพโรมันที่ "สมบูรณ์แบบ" ในฮังการี
นิทานเพื่อนรัก 3 คนสู่โศกนาฏกรรมปริศนา! สั่งระงับเผาศพ-พบ "ไซยาไนด์" ในร่างผู้เสียชีวิต
‘ดร.ธรณ์’ แนะนำ ถ้าจะย้ายที่อยู่ จังหวัดไหนเหมาะที่สุด ที่ไม่มีมลพิษของฝุ่นและภัยพิบัติทางธรรมชาติ
เพื่อนสนิทเปิดใจหลังเกิดเหตุ! เผย 'ณัฐวุฒิ ปงลังกา' หลับไม่ตื่น-ไม่ขอตอบปมทะเลาะในวงเหล้า ขณะผลชันสูตรชี้ชัดพบ "ไซยาไนด์"
🔍 ถอดรหัสปี 2568! คนไทยค้นหาอะไรบน Google มากที่สุด สะท้อนภาพสังคมแห่งปี
เพื่อนสนิทเปิดใจหลังเกิดเหตุ! เผย 'ณัฐวุฒิ ปงลังกา' หลับไม่ตื่น-ไม่ขอตอบปมทะเลาะในวงเหล้า ขณะผลชันสูตรชี้ชัดพบ "ไซยาไนด์"
ชาว เกษตรกร เขมร กดดันไทยเปิดด่าน ควบรถไถเหยียบนาข้าวทิ้ง ราคาตกต่ำสุดขีด
นิทานเพื่อนรัก 3 คนสู่โศกนาฏกรรมปริศนา! สั่งระงับเผาศพ-พบ "ไซยาไนด์" ในร่างผู้เสียชีวิต
วิธีป้องกันตะขาบในบ้าน ลดเสี่ยงโดนกัด
เลขเด็ด "แพนแพนพารวย" งวดวันที่ 16 ธันวาคม 68..สูตรหวยเด็ด รวยก่อนใคร!
ไวรัลอีกครั้ง! “I Promise I Will Comeback” รีรันคืนจอ







