พระศาสดาโลก องค์ต่อไป ใช่ว่าใครๆก็เป็นได้
ถึงคนที่ ประกาศตัวอยู่ตอนนี้ว่า ตัวเองเป็นพระศรีอริยเมตไตรย หรือ มีความเทียบเท่า พระศาสดาโลก
ผู้เขียนจะขอถกเรื่องราวอันควรจะมองในอีกแง้มุมหนึ่ง
ผู้ที่จะเป็นมหาศาสดาโลกได้ ไม่ใช่แค่
นั่งหลับตาแล้วมโนเห็นภาพอะไรขึ้นมาก็เข้าใจว่าตัวเองมี ณานสมาบัติ
ในองค์ความรู้ พระพุทธเจ้า แจง ณานสมาบัติ ไว้อย่างละเอียดและหลายแบบ หลายขั้นตอน
ซึ่งในกาลต่อมา ไอสไตน์ได้อธิบายไว้ในหลักการของ
"อนุภาคที่เร็วกว่าแสง จะสามารถย้อนอดีตหรือไปยังอนาคตได้"
เมื่อจิตที่นิ่งมากพอ อนุภาคของจิตจะมีความเร็วเหนือแสงได้อย่างคาดไม่ถึง
ไอสไตน์จึงแทบจะเป็นผู้สนับสนุนในทฤษฎีนี้อย่างเต็มตัว
และได้คลี่ภาพให้เห็นว่าทำไม การฝึกสมาธิจนเข้าณานสมาบัติได้
ถึงทำให้พระองศ์ตรัสรู้และได้เห็นอดีตและอนาคต
นอกจากนี้พระเองยังได้ตรัสและทำให้เห็น ถึง
การเพ่งกสิน จนเข้าสู่ เตโชธาตุแบบพิศดารต่างๆ อย่างน่าอัศจรรย์
ซึ่งถ้าว่าด้วย การอธิบายของหลักวิทยาศาสตร์
มันก็คือการกลับขั่วของ เอนโทรปี (entropy) ทางฟิสิกส์นั้นเอง
แต่เครื่องมือของพระพุทธเจ้าคือการใช้กระแสจิตที่มีความเร็วสูง
สั่งเข้าไปในอนุภาคขนาดเล็กเหล่านั้น
ฟังๆดูมันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ
แต่สุดท้าย มันกลับอธิบายด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างหน้าทึ่ง
พระองค์ทรงเป็นนักวิทยาศาตร์ที่ทำการทดลองเกี่ยวกับพลังจิต
และทดสอบอะไรหลายๆอย่างเกี่ยวกับกระแสจิต
หนึ่งในนั้น คือการถอดจิตและการโทรจิต
บ่อยครั้งที่พระองค์โทรจิตไปถึงเหล่าสาวกชั้นเอกของพระองค์
หรือการปรากฏตัวต่อหน้าสาวกในที่ห่างไกล แต่ตัวพระองค์ยังอยู่ในที่ประทับหลวง
ในยุคสองพันกว่าปีก่อนมันเป็นเรื่องยาก ที่จะอธิบายต่อปรากฏการแบบนั้น
แต่บทสรุปที่ทำให้เรื่องนี้น่าเชื่อถือ ก็คือ
เหล่าสาวกที่ได้รับรู้พระดำรัสของพระองค์ในเวลาเดียวกันนั้น ต่างคนต่างอยู่กันคนละแห่ง
จึงเป็นการยากมาก ที่พระองค์จะเดินทางไปปรากฏตัวให้เห็นได้พร้อมกัน
สิ่งที่พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นมีมากกว่าสิ่งที่มนุษย์ได้รับรู้
ครั้งหนึ่งพระองค์ทรงเคยตรัสว่า
"ใบประดู่ที่อยู่ในมือเรา เหล่านี้ กับใบประดู่ที่ตกเกลื่อนอยู่ในป่า"
"ที่ใดมีมากกว่ากัน"
เมื่อเหล่าสาวกของพระองค์ตอบว่า "ใบประดู่ที่ตกเกลื่อนในป่ามีมากกว่า"
พระองค์ก็ทรงได้ตรัสตอบว่า
"ฉันใดก็ฉันนั้น ธรรมที่เราแสดงให้เห็น ย่อมมีน้อยกว่าธรรมที่มีอยู่ในมหาจักรวาน"
นั้นแสดงให้เห็นว่า ยังคงมีหลายๆสิ่ง ที่ยากเกินสติปัญญาของมนุษย์ในตอนนั้นจะเข้าใจได้
และพระองค์ก็นำเพียงธรรมะที่จำเป็นสำหรับแก่นแท้ของการปฏิบัติมาเผยแพร่เท่านั้น
เมื่อถึงในยุคที่โลกถูกพัฒนาจนเกิดองค์ความรู้ใหม่ๆแล้ว มีเทคโนโลยีที่เข้าถึงแล้ว
ศาสดาองค์ต่อไป จะหยิบยกธรรมะชั้นสูงกว่า มาสู่มวลมนุษย์โลก
กว่าคนคนหนึ่งจะได้มาซึ่งการค้นพบสิ่งที่ยิ่งใหญ่ อย่างพระพุทธเจ้าทรงค้นพบ
ไม่ใช่แค่การบำเพ็ญเพียรเพียงแค่ ภพเดียว ชาติเดียว ก็สำเร็จได้ทันที
หากแต่ต้องสะสม บุญบารมี วาสนา มาหลายภพหลายชาติ
การเสียสละที่ยิ่งใหญ่ การเป็นเลิศเพียงหนึ่งเดียวในทางใดทางหนึ่ง ของแต่ละภพชาติ
สิ่งที่ติดตัวมาเหล่านี้ ถึงจะหนุนนำไปสู่ผู้ค้นพบทางสว่างที่ยิ่งใหญ่ได้
ไม่ใช่ใครนึกอยากจะฝันเป็นอย่างพระพุทธเจ้า ในชาตินี้ก็เป็นได้เลย
ทั้งๆที่ตัวเองยังยึดติดอยู่กับกิเลศตัญหา มีลูกมีเมีย มีที่มีทาง ครอบครอง
ซึ่งมันล้วนนำพามาสู่ความหมองเศร้าของจิต
และถ้าจิตหมองเศร้าแล้ว มันจะเป็นไปได้อย่างไร ที่จะทำให้ตัวเองหลุดพ้นได้
สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้จึงชอบแล้ว
การจะมีจิตที่เบิกบาน ขั้นแรก ต้องมี ศิลเสียก่อน
ก็คือกฏ ที่จะไม่ให้ตัวเองพาจิตไปจ่มอยู่กับความเศร้าหมอง
เมื่อมีศิลแล้วก็จะไม่มีอะไรทำให้จิตวอกแวก สมาธิก็จะตามมา
เมื่อมีสมาธิ จนจิตนิ่ง ปัญญาก็จะเกิด และเมื่อมีปัญญามากพอ
ก็จะเห็นหนทางดับทุกข์ หนทางสว่าง
นี่เป็นกฏธรรมชาติ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงให้เห็นตั้งแต่ สองพันกว่าปีก่อน
ในขณะที่ คนที่ชอบอ้างว่า ตัวเองเป็นพระมหาศาสดา
กลับไม่เคยพูดถึงเรื่องทุกข์ และหนทางการดับทุกข์เลย
ตรงกันข้าม ตัวเองยังคงมีห่วงทุกข์คล้องคออยู่
ไม่กล้า ทิ้งบ้านทิ้งช่อง ทิ้งลูกทิ้งเมียเพื่อไปแสวงหาหลักธรรม
แต่กลับมีบ้านมีรถ ก็ยึดติดว่าเป็นของของตน
บอกแค่เพียงว่าตัวเองฉลาด เก่ง มีความรู้มาสอนมนุษย์โลก
ช่างดูเหมือนควันร่องรอยในอากาศ สิ้นดี
ลองคิดดูนะ พระมหาศาสดาโลกเกิดขึ้นจริง จะเป็นอย่างไร
อันดับแรกเลย วันที่ตรัสรู้ จะเกิดปรากฏการแผ่นดินไหวในรัศมีที่พระมหาศาสดาโลกนั้นประทับอยู่
ข้อสอง พระองค์จะไม่ประกาศตัวด้วยตัวเองว่าเป็น มหาศาสดาโลก
ข้อที่สาม พระองค์จะใช้ณานสแกนหาผู้มีณานน้อยใหญ่ด้วยกันก่อนเป็นดับแรก
ข้อที่สี่ พระองค์จะใช้จิตสื่อถือบุคคลเหล่านั้น หรือพระเหล่านั้น
ลองคิดดูว่า เป็นพระเกจิท่านหนึ่ง นั่งสมาธิอยู่ในวัดดีๆ
อยู่ๆมี ร่างทิพของใครสักคนมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า แล้วสนทนาธรรมกัน อะไรจะเกิดขึ้น
ข้อที่สี พระเกจิ หรือผู้ที่บรรลุญาณเหล่านั้นที่ได้สัมผัสกับณานของมหาศาสดาโลก
จะต่างพากันเดินทาง มาหาพระองค์โดยไม่ได้นัดหมาย ทั่วทั้งโลก
ลองคิดดู อยู่ๆพระที่มีชื่อเสียง หรือนักปฏิบัติ หลั่งไหลกันมาลงที่สนามบิน คนคง งง กันพิลึก
และนี่ดูเป็นความฉลาดกว่า ที่จะเที่ยวไปบอกว่าตัวเองคือ มหาศาสดาโลก ออกทีวี
ซึ่งมหาศาสดาโลกคงไม่ด้อยสติปัญญาขนาดนั้น ที่จะทำให้คนมองเห็นพระองค์ในทางที่น่าสรรเสริญกว่านี้
ข้อที่ห้า ศาสดาโลกเกิดขึ้นที่ใด บทสวดหรือคำสรรเสริญ ย่อมเป็นภาษาแห่งนั่น เราคงไม่เคยเห็นพระเยซูหรือพระอัลเลาะห์สวดภาษาสันสกฤต ฉันใดก็ฉันนั้น
ข้อที่หก ศาสดาเกิดใหม่ ศาสนาใหม่ก็จะเกิดตาม จะไม่ยึดหลักศาสนาเก่า ดังที่พระพุทธเจ้าทรงไม่เอาลัทธิพราหมณ์ อินดู หรือโยคี ในสมัยนั้นมาใช้เลย
ข้อที่เจ็ด กว่าจะเป็นที่รู้จัก ไม่ใช่แค่ประกาศศาสนาแล้วคนจะรู้จัก แต่พระองค์ทรงไปทำให้หลายๆสำนักประจักษ์ต่อภารานุภาพของพระองค์จนเกิดความศรัทธาในตัวพระองค์อย่างไม่มีข้อสงสัย
แค่เจ็ดประการนี้ คนธรรมดาทั่วไปก็หาทำได้ไม่
แล้วพระมหาศาสดาเก๊เขาจะคิดได้บ้างไหมนะ